คอลัมน์ สดจากสนามข่าว
ผ่าคดีจับอดีตนาวิกมะกัน – ยุคที่โควิดระบาดสินค้าที่สร้างกำไรได้อย่างมหาศาลหนีไม่พ้นวัสดุ อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ในโลกธุรกิจเมื่อมีกำไรก็ย่อมมีขาดทุน หลายรายสูญเงินทองนับร้อยล้านเพราะสินค้าไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ได้รับสินค้าตามที่ตกลง
หลายคนเลือกใช้ช่องทางกฎหมายในการดำเนินคดี แต่ก็มีบางคนเลือกใช้ช่องทางที่เสี่ยงกว่านั้น
เรื่องราวของคดีนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 15 พ.ค.2564 ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. ร่วมแถลงจับกุม นายเจเรมี่ แมนเชสเตอร์, นายลูอิส ซิสกิน ทั้งสองสัญชาติอเมริกัน และ นายเอกบดินทร์ ประสิทธิ์นฤทธิ์ ชาวไทย
ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ข้อหา “ร่วมกันเรียกค่าไถ่, พยายามฆ่า, อั้งยี่, ซ่องโจร, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายฯ ,ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยไตร่ตรองไว้ก่อน”
จนมุมหนุมานกองปราบฯ
คดีนี้สืบเนื่องจากช่วงปลายปี 2563 นายลูอิส เป็นตัวแทนบริษัทติดต่อขอซื้อถุงมือไนไตรล์ กับบริษัท แพดดี้เดอะรูมฯ แต่เกิดความขัดแย้งกันและทำให้กลุ่มนายลูอิส เสียหายเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท ต่อมาผู้ต้องหาทราบว่าบริษัทคู่กรณีมีสาขาในประเทศไทย โดยมีนายเวน ยู ชุง ชาวไต้หวัน เป็นผู้บริหาร จึงว่าจ้างให้นายไมเคิล ชาวอิสราเอล ซึ่งมาเปิดบริษัทนักสืบเอกชน และรับทวงหนี้ในประเทศไทย ให้ช่วยติดตามทรัพย์สินคืนจากคู่กรณี
ต่อมานายไมเคิลทำทีเป็นติดต่อขอซื้อถุงมือจากนายเวน ยู ชุง และนัดเจรจาธุรกิจกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา เมื่อเจอเหยื่อจึงหลอกล่อและอุ้มขึ้นรถไปยังห้องพักรายวันแห่งหนึ่งภายในซ.สุขุมวิท 36 อยู่ห่างไปประมาณ 200 เมตร
โดยภายในห้องพักดังกล่าวมีผู้ร่วมก่อเหตุอีกกลุ่มหนึ่งรออยู่ในห้องพักด้วย พร้อมข่มขู่และติดต่อไปทางสำนักงานใหญ่ขอค่าไถ่จำนวน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และติดต่อญาติขอเงินอีก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงินไทยเกือบ 100 ล้านบาท แต่บริษัทและญาติตัดสินใจขอความช่วยเหลือผ่านสถานทูตกระทั่งเรื่องมาถึงตำรวจกองปราบปราม
คุมตัวจากคอนโดฯ
เมื่อคนร้ายเห็นว่าเหยื่อไม่ยอมจ่ายเงินค่าไถ่ จึงติดต่อนายลูอิสและพาเหยื่อไปที่ร้านอาหารอีกแห่งซึ่งมีชายไทยอีกคนอ้างตัวเป็นตำรวจไทยอยู่ด้วย โดยพยายามเกลี้ยกล่อมให้นายเวน ยู ชุง ไม่เอาความ จากนั้นยอมปล่อยตัวออกมา
หลังถูกปล่อยตัวนายเวน ยู ชุง เข้าแจ้งความที่สน.ทองหล่อ กระทั่งคดีมาถึงกองปราบปราม จึงจัดชุดสืบสวนเข้าคลี่คลายและพบว่ามีผู้เกี่ยวข้องรวม 6 คนจึงรวบรวมพยานหลักฐานกระทั่งขอหมายจับได้ทั้งหมด โดยหนึ่งในนั้นคือพ.ต.ท.กฤษณพร ทัพทวี รอง ผกก.6 บก.จร. ต่อมาชุดหนุมาน กองปราบปราม ได้เบาะแสผู้ต้องหา 3 คนแรกจึงจู่โจมเข้าจับกุม ผู้ต้องหาชาวสหรัฐสารภาพว่าก่อเหตุดังกล่าวจริง เนื่องจากเป็นคำสั่งของนายไมเคิล โดยผู้ต้องหาเป็นอดีตทหารนาวิกโยธิน สหรัฐ เคยผ่านสงครามอ่าวเปอร์เซียมาก่อน มีความชำนาญทักษะการต่อสู้ แต่เนื่องจากรายได้ไม่เป็นไปตามต้องการ จึงลาออกมาเป็นทหารรับจ้าง ทำงานให้กับบริษัทรับจ้างทวงหนี้ของนายไมเคิล
วันที่ 17 พ.ค. พ.ต.ท.กฤษณพร เข้ามอบตัวที่ สน.ทองหล่อ พร้อมให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อ้างว่าเพื่อนชวนไปในวันเกิดเหตุและไม่ทราบว่าจะมีเหตุการณ์อุ้มเหยื่อเรียกค่าไถ่เกิดขึ้นส่วนผู้ต้องหาอีก 2 คน คือ นายไมเคิล กรีนเบิร์กและนายโรเบิร์ต ฟรานซิส ตำรวจกองปราบฯ ร่วมกับตำรวจทองหล่ออยู่ระหว่างการติดตามตัว
วงจรปิดมัด พ.ต.ท.
ขณะที่นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรอง ผู้กำกับสันติบาล นายตำรวจคนดัง เข้ามาช่วยเหลือพยายามขอประกันตัวฝ่ายผู้ต้องหา โดยระบุว่ารู้จักชาวอเมริกัน ทั้ง 2 คนเป็นอย่างดี ทั้งคู่เป็นนักธุรกิจจริง เรื่องการซื้อขายถุงมือยางมีจริง ทราบว่าผู้ต้องหาที่เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน สั่งซื้อถุงมือยางจากนักธุรกิจชาวไต้หวัน แต่สินค้าไม่ได้มาตรฐาน นักธุรกิจชาวไต้หวันต้องคืนเงินให้เขา คดีนี้มีพฤติการณ์ที่น่าสงสัย ส่วนมีการกักขังหรือทำร้ายกันหรือไม่ ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จริง
วันเดียวกันตร.ทองหล่อคุมตัวทั้ง 4 นาย ส่งศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อขออำนาจฝากขังผัดแรก พร้อมคัดค้านประกันตัว ขณะที่พ.ต.ท.กฤษณพร ทางผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนจนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น
เลือกทางที่อยู่นอกกฎหมาย สุดท้ายจบไม่สวยสักราย
