คอลัมน์ แฟ้มคดี

ฉากจบคดี’น้องชมพู่’ – หลังจากยืดเยื้อมาร่วมปี ในที่สุดก็ได้บทสรุป สำหรับคดีของน้องชมพู่ ด.ญ.วัย 3 ขวบที่เสียชีวิตปริศนาบนเขาเหล็กไฟ

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นขอศาลมุกดาหารออกหมายจับลุงพล ใน 3 ข้อหาสำคัญ พร้อมควบคุมตัวดำเนินคดี

ยืนยันหลักฐานที่มี ทั้งเรื่องของเส้นผมน้องชมพู่ และดีเอ็นเอของคนใกล้ชิด สามารถมัดตัวลุงพล ว่าเป็นผู้ต้องหาในคดี

พร้อมสรุปเหตุการณ์ว่าเกิดจากที่ลุงพล พาน้องชมพู่ นั่งรถออกไป ระหว่างทางอาจรำคาญน้องที่ร้องไห้ จึงใช้มือปิดปากจนสลบ ก่อนที่จะนำร่างทิ้งไว้ข้างทาง เพื่อเดินทางไปทำธุระต่อ

แต่พอกลับมาน้องชมพู่ที่ยังไม่เสียชีวิต กลับเดินหายเข้าไปในป่า

เมื่อตามเจอก็กลายเป็นศพ จนกระทั่งต้องซ่อนเร้นอำพราง หวังให้เรื่องพ้นจากตัวเอง

ขณะที่เจ้าตัวและทนายความยืนยันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมต่อสู้คดี

ซึ่งทุกอย่างคงต้องรอการพิสูจน์ในชั้นศาล ให้ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร

ฉากจบคดี'น้องชมพู่'

ตร.อ่านหมายจับ

จับลุงพล-ตั้ง 3 ข้อหาหนัก

หลังมีกระแสข่าวเจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยงถึงตัวคนร้ายที่พาน้องชมพู่ หรือด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา อายุ 3 ขวบออกจากบ้านพักในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร แล้วเสียชีวิตบนเขาหินเหล็กไฟ ห่างจากบ้านประมาณ 5 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563

ในที่สุดก็มีความคืบหน้า โดยเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ศาลจังหวัดมุกดาหารอนุมัติหมายจับนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ เลขหมายจับที่ 53/2564 ใน 3 ข้อหา คือพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร

ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

โดยหลักฐานในการออกหมายจับครั้งนี้คือ หลักฐานบริเวณจุดพบศพ ได้แก่ กางเกง รองเท้า เส้นขน 3 เส้น ที่ตรวจดีเอ็นเอจนสามารถระบุได้แล้วว่าเป็นของใคร รวมถึงเส้นผมน้องชมพู่ที่ถูกสับ 36 เส้น และคำให้การของพยานแวดล้อมทั้งหมด และผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ชี้ชัดว่ามีความเชื่อมโยงกับลุงพล

ต่อมาช่วงสายวันที่ 2 มิ.ย. นายไชย์พล หรือลุงพล พร้อม ป้าแต๋น นางสมพร หลาบโพธิ์ เดินทางมากับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ เพื่อขอมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยยื่นความจำนงขอมอบตัวกับพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.

โดยลุงพลกับป้าแต๋นเข้าไปยังอาคาร 1 ตร. แต่ก่อนที่จะทำเรื่องมอบตัว พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผบก.ปส.3 ก็แสดงหมายจับ จับกุมตัวที่ห้องโถงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วส่งลงบันทึกประจำวันที่สน.ปทุมวัน พร้อมปฏิเสธทั้ง 3 ข้อหา เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ส่งดำเนินคดีที่สภ.กกตูม

ด้านพล.ต.อ.สุวัฒน์แถลงถึงเรื่องดังกล่าว ยืนยันพยานหลักฐานที่มี ทั้งจากหลักพฤติกรรมมนุษย์ ประจักษ์พยาน วัตถุพยาน หลักฐานวิทยาศาสตร์ นิติวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงไสยศาสตร์ ความเชื่อต่างๆ เพียงพอที่จะขอศาลอนุมัติหมายจับ พร้อมฝากถึงแม่น้องชมพู่ว่าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว

ปฏิเสธกรณีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเร่งดำเนินคดีในช่วงนี้เพื่อกลบข่าวการเมืองที่ร้อนแรง!??

ฉากจบคดี'น้องชมพู่'

ผบ.ตร.แถลง

พาขึ้นเขา-อำพรางศพ

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปไทม์ไลน์การหายตัวไปของน้องชมพู่ ว่า เกิดหายตัวในช่วงเวลา 09.11-09.49 น. วันที่ 11 พ.ค.2563 มีเวลาก่อเหตุเพียง 38 นาที จากนั้นพบศพน้องชมพู่ บนภูเหล็กไฟ ในเวลา 19.00 น. วันที่ 14 พ.ค. 2563 สภาพถูกถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้เหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีดหรือของมีคม สับ ฟัน เถือ ตัด ที่เส้นผมของศพน้องชมพู่ โดยแพทย์สันนิษฐานว่าเสียชีวิตในช่วงวันที่ 12-13 พ.ค. 63 จากการขาดน้ำขาดอาหาร ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่พบบาดแผลที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้

ต่อมาพล.ต.อ.สุวัฒน์แถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 ต.ค. 63 สรุปว่าน้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบริเวณจุดพบศพได้ด้วยตนเอง แต่มีคนร้ายพาไป

เมื่อรวบรวมหลักฐานจนสมบูรณ์ ก็พบข้อเท็จจริง 3 ประเด็น ได้แก่

1.การกระทำของคนร้ายในคดีนี้ มีการพาเหยื่อไปทิ้งที่ไกลๆ เพื่อเป็นการอำพรางคดี ซึ่งเป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อ หากปล่อยให้เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ จะสามารถชี้ยืนยันตัวเองว่าเป็น ผู้กระทำผิดดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องมีการอำพรางคดีเพื่อให้ความผิดพ้นตัว

2.ช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไปจากบริเวณจุดเกิดเหตุ พี่สาวของน้องชมพู่ อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องชมพู่เลย ทั้งที่อุปนิสัยของน้องชมพู่จะเป็นคนหวงตัว หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดจะร้องเสียงดังทันที 3.บริเวณจุดพบศพ บนภูเหล็กไฟ พบรองเท้า รถแบ๊กโฮ ของเล่น ตกอยู่ จึงยืนยันได้ว่าน้องชมพู่เต็มใจเดินไปกับคนร้าย มิฉะนั้นแล้ว ของเล่น หรือรองเท้าจะไม่ติดตัวน้องชมพู่ ไปถึงจุดพบศพอย่างแน่นอน

ทั้ง 3 ประเด็นนี้ มีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า นายไชย์พลเป็นบุคคลที่พาตัวน้องชมพู่ ไปจากบ้านที่เกิดเหตุเพื่อเดินทางไปรับส่งพระด้วยกัน ระหว่างเดินทางไปนั้นได้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถพาน้องชมพู่ไปด้วยได้ จึงนำตัวน้องชมพู่ ซึ่งเชื่อว่าหมดสติ ไปซุกซ่อนไว้บริเวณป่าท้ายหมู่บ้าน แล้วจึงเดินทางไปรับพระ

เมื่อพบกับพระจึงเล่าเรื่องราวน้องชมพู่หายให้พระฟังในทันทีทันใด ทั้งที่ยังไม่มี ผู้ใดทราบเหตุดังกล่าว เมื่อเสร็จธุระ นายไชย์พลจึงย้อนกลับมาพบว่าน้องชมพู่ยังไม่เสียชีวิต จึงนำตัวน้องชมพู่ขึ้นไปทิ้งไว้บนภูเหล็กไฟ จนกระทั่งน้องชมพู่เสียชีวิต จากการขาดน้ำ และขาดอาหารในเวลาต่อมา

จากนั้นได้เข้าจัดการกับสภาพศพโดยถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้มีลักษณะเหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีด หรือของมีคมด้านเดียว สับ ฟัน เถือ ตัด ไปที่บริเวณเส้นผมของศพน้องชมพู่ นำไปประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ตามความเชื่อของตน

โดยตำรวจระบุว่า เป็นการปิดบังความผิดนั่นเอง

ฉากจบคดี'น้องชมพู่'

แม่น้องชมพู่ร่ำไห้

เปิดหลักฐาน-ข้อพิรุธมัด

สำหรับสาเหตุที่ทำให้น้องชมพู่ถึงแก่ชีวิตนั้น จากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจเชื่อว่ามาจากพฤติกรรมที่เป็นคนโมโหร้าย โดยเฉพาะกับเด็ก มักเป็นคนขี้รำคาญหากเด็กร้องงอแงหรือไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งพบว่ามีกรณีตัวอย่าง เกิดกับเด็กรายอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ต้องหา มักถูกดุด่าและเฆี่ยนตีบ่อยๆ

สำหรับกรณีน้องชมพู่นั้น เชื่อว่าในวันเกิดเหตุผู้ต้องหามาพบน้องชมพู่ที่บ้านแล้วชักชวนออกไปเที่ยวเล่น ระหว่างทางเมื่อไปถึงบริเวณป่าที่ห่างออกไปจากบ้าน 900 เมตร คาดว่าน้องชมพู่จะร้องไห้ตกใจ เนื่องจากเป็นเด็กที่กลัวป่า ทำให้ผู้ต้องหาโมโห อาจ ดุด่าทำร้ายน้องชมพู่อย่างพลั้งเผลอ

โดยผลการตรวจพิสูจน์ของแพทย์นิติเวช พบร่องรอยชี้ว่าเด็กร้องไห้ตกใจมาก และเป็นไปได้ที่จะถูกอุดปาก คาดว่าคงใช้มือปิดปากจนเด็กแน่นิ่งไป แล้วจึงนำร่างนั้นไปทิ้งไว้ภายในป่า สอดรับกับการที่สุนัขดมกลิ่นของตำรวจ ได้พบกลิ่นของน้องชมพู่ที่ป่าห่างจากบริเวณบ้านประมาณ 900 เมตรดังกล่าว

คาดว่าภายหลัง ลุงพลน่าจะย้อนกลับมาบริเวณที่ทิ้งร่างเด็กเอาไว้ แต่ไม่พบเด็ก เนื่องจากน้องชมพู่ยังไม่เสียชีวิต สอดรับกับการตรวจพิสูจน์ที่พบว่า น้องชมพู่มีรอยช้ำที่ฝ่าเท้า น่าจะเกิดจากการเดินเท้าเป็นระยะทางไกล ก่อนจะถูกนำตัวขึ้นไปบนภูเหล็กไฟและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สำหรับหลักฐานชิ้นสำคัญ ได้แก่ ผลการเก็บพยานหลักฐานภายในรถของลุงพล ซึ่งก็คือเส้นผมของน้องชมพู่ ที่ถูกหั่นหลังจากเสียชีวิต โดยผ่านการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน

ยืนยันได้ว่าหลังจากที่เสียชีวิต มีเศษผมดังกล่าวเข้ามาอยู่ในรถลุงพล โดยเชื่อว่าลุงพลเองนั่นแหละที่นำเศษผมติดเข้ามา

นอกจากนี้ยังพบเศษผมของคนใกล้ชิดลุงพล ที่ไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยคนใกล้ชิดนั้นไม่เคยไปที่เกิดเหตุแน่นอน สรุปได้ว่าน่าจะติดจากลุงพลขึ้นไป

ทั้งนี้ฝ่ายสืบสวนพบพิรุธของลุงพลตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่การที่อ้างว่ารู้การหายตัวไปของน้องชมพู่ก่อนคนอื่นเพราะป้าแต๋นโทร.บอก แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์ของลุงพลนำไปขายก่อนหน้านี้ แล้วใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวกับป้าแต๋น จึงเป็นไปไม่ได้ว่า ป้าแต๋นจะโทร.บอก และเมื่อสอบถามอีกครั้งก็อ้างว่าจำไม่ได้ จึงเป็นข้อสงสัยที่ทำให้เจ้าหน้าที่จับตามอง

เมื่อมีหลักฐานจึงจับกุม พิสูจน์กันอีกทีในชั้นศาล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน