ป.ป.ช.ฟ้อง’เทพเทือก’ พ่วงรักษาการผบ.ตร. คดีทุจริต396โรงพัก เจ้าตัวยืนยันบริสุทธิ์ : แฟ้มคดี

ป.ป.ช.ฟ้อง’เทพเทือก’ – เป็นอีก 1 คดีที่ยืดเยื้อยาวนาน แต่สุดท้ายก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาล

นั่นก็คือเรื่องทุจริตจัดสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่งในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ใช้งบไทยเข้มแข็งจัดสร้างขึ้น

แต่ในที่สุดเมื่อครบระยะเวลาตามสัญญา แทนที่จะได้โรงพักเพื่อประชาชน ได้ใช้เป็นที่ทำงานของตำรวจ บริการประชาชนที่มาติดต่องาน กลับไม่สามารถก่อสร้างเสร็จ บางแห่งมีแต่เสา มีแต่ตอม่อ

ทำให้ตำรวจส่วนหนึ่งต้องไปใช้ซอกตึก ที่เก็บของนั่งทำงาน ใช้คอกวัวรับแจ้งความก็มี

กลายเป็นความเสียหายต่อประเทศชาติหลายพันล้านบาท

จึงกลายเป็นการตรวจสอบ และป.ป.ช.เองก็มีมติชี้มูลความผิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ดูแลกำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. และพวกรวม 6 คน

ในความผิดฐานเปลี่ยนสัญญาจ้าง จากเดิมให้จ้างเป็นรายภาค เป็นสัญญาเดียวทั่วประเทศ ซึ่งขัดกับมติครม.

และแม้อัยการจะสั่งไม่ฟ้อง แต่ด้วยหลักฐานและผลวินิจฉัยของป.ป.ช. จึงตัดสินใจฟ้องเอง

เรื่องขึ้นสู่ศาล หาคนทำประเทศชาติเสียหายมาลงโทษให้ได้

ป.ป.ช.ฟ้อง'เทพเทือก'

สภาพโรงพัก

ฟ้องเทือกคดี 396 โรงพัก

ความคืบหน้าของคดีนี้ เกิดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นัดส่งตัวจำเลย ในคดีทุจริตก่อนสร้างสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับความเสียหาย เป็นเงินจำนวน 1,728 ล้านบาท ต่อศาลฎีกาแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

โดยจำเลยในคดีนี้ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องมาตรา 157 พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จำเลยที่ 2 มาตรา 157 พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ จำเลยที่ 3 เเละพ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์ จำเลยที่ 4 โดนความผิดฐานฮั้วประมูลและมาตรา 157 ส่วนบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด จำเลยที่ 5 เเละนายวิษณุ วิเศษสิงห์ จำเลยที่ 6 ถูกฟ้องข้อหาสนับสนุนฯ

คดีนี้ป.ป.ช.เป็นผู้ยื่นฟ้องด้วยตัวเอง ที่ประชุมร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและป.ป.ช. เมื่อมิ.ย.2564 มีความเห็นไม่สั่งฟ้อง ป.ป.ช.จึงดึงเรื่องกลับมาเพื่อทำสำนวนฟ้องเอง

โดยระบุถึงความผิดของจำเลยทั้งหมด สรุปว่า การกระทำของนายสุเทพ ที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีมูลความผิดทางอาญา ตามป.อาญา มาตรา 157 เช่นเดียวกับพล.ต.อ.ปทีป รักษาการผบ.ตร.ในขณะนั้น และยังมีมูลความผิดวินัยร้ายแรง ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6)

ภายหลังเข้าเเสดงตัวต่อศาล นายสุเทพยังคงยืนยันถึงความบริสุทธิ์ สั่งการลงนามจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวทำตามระเบียบกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้ป.ป.ช.นำเอกสารมายื่นฟ้องทั้งหมด 1,302 หน้า ซึ่งทั้งหมดเคยชี้แจงต่อป.ป.ช.และอัยการครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีประเด็นที่แปลกไปกว่าเดิม และจะนำความเห็นของอัยการสูงสุดที่สั่งไม่ฟ้อง และไม่รับคดีมาโต้แย้ง ซึ่งเตรียมพยานเอกสารไว้ทั้งหมด 200 หน้า ทั้งนี้หากชนะคดีจะฟ้องกลับหรือไม่ ตอนนี้ขอสู้คดีก่อน เพราะถูกกล่าวหามา 10 ปีแล้ว ทำให้เสียชื่อเสียงมาก

ขณะที่ศาลมีคำสั่งนัดพิจารณาคดีครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การในวันที่ 17 ก.พ. 2565 และให้ประกันตัวจำเลยทั้งหมด โดยตีราคาประกันคนละ 1 ล้านบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

คดีสู่ศาลหลังยืดเยื้อมาเกือบ 10 ปี

ป.ป.ช.ฟ้อง'เทพเทือก'

ยื่นฟ้องสุเทพ

มติป.ป.ช.ชี้มูลความผิด

สำหรับคดีดังกล่าวเป็นโครงการตั้งแต่ปี 2552 และเริ่มก่อสร้างต้นปี 2554 ในสมัยที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพเป็นรองนายกฯ กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดยดีเอสไอเป็นหน่วยงานที่ทำคดี ระบุคำร้องต่อป.ป.ช.ว่า นายอภิสิทธิ์กับพวกอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง จากเดิมจัดจ้างโดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1-9) จำนวนหลายสัญญา

เป็นรวมการจัดจ้างก่อสร้างที่ส่วนกลางในครั้งเดียวและเป็นสัญญาเดียวโดยไม่เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างเสียก่อน โดยรู้อยู่แล้วว่าแนวทางที่อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงดังกล่าวการก่อสร้างจะไม่แล้วเสร็จ

เมื่อคำร้องเข้าสู่การพิจารณาของป.ป.ช. ได้มีคำสั่งที่ 129/2556 ลงวันที่ 3 พ.ค. 2556 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยมีนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช.ในขณะนั้น เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

ต่อมา ป.ป.ช.มีคำสั่งที่ 615/2560 ลงวันที่ 12 เม.ย. 2560 เปลี่ยนรูปแบบการไต่สวนจากการตั้งอนุกรรมการไต่สวน มาให้กรรมการป.ป.ช. ทั้ง 9 คน เป็นองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริง มีนายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร์ และน.ส.สุภา ปิยะจิตติ เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวน

จนกระทั่งวันที่ 22 ก.ค. 2562 กรรมการป.ป.ช. 8 คนมีมติชี้มูลความผิดนายสุเทพและคณะ โดยน.ส.สุภา ที่เคยเป็นเจ้าของสำนวนถอนตัวจากการรับผิดชอบสำนวนและการพิจารณาลงมติชี้มูล

มีความเห็นว่า นายสุเทพ พล.ต.อ.ปทีป และพวกรวม 6 คนมีความผิด

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาอื่น ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์ และพล.ต.ท.สุพร พันธุ์เสือ ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

ทั้งนี้มติป.ป.ช. ให้ส่งเรื่องรายงาน เอกสารหลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษา ตามมาตรา 97 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542

และส่งรายงาน เอกสารหลักฐานพร้อมความเห็น ไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย ตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 92 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 แล้วแต่กรณีต่อไป

สุดท้ายเมื่ออัยการไม่สั่งฟ้อง ป.ป.ช.จึงยื่นฟ้องเอง

ป.ป.ช.ฟ้อง'เทพเทือก'

ตร.เก็บข้อมูล

เปิดสำนวน-เปลี่ยนสัญญาจ้าง

ทั้งนี้จากรายการการไต่สวนข้อเท็จจริง สรุปว่า โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง ดังกล่าวข้างต้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่งตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานภายนอก ศึกษาและพิจารณาแนวทางการจัดจ้าง เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชนที่มาใช้บริการ

ซึ่งได้ข้อสรุปว่าวิธีการที่เหมาะสมต้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยวิธีจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี และกระจายการจัดซื้อจัดจ้างไปตามตำรวจภูธรภาค หรือตำรวจภูธรจังหวัด การดำเนินโครงการจึงจะแล้วเสร็จ การก่อสร้าง ไม่เกิดปัญหา

จึงเสนออนุมัติต่อครม. ให้ดำเนินการจัดจ้างตามแนวทางที่ เสนอไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดจ้างตามแนวทางที่คณะทำงานดังกล่าวเสนอผ่านนายสุเทพ ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายสุเทพพิจารณาแล้วเห็นชอบและอนุมัติให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2552

ซึ่งครม. ในการประชุมครั้งที่ 7/2552 เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2552 พิจารณาแล้วมีมติอนุมัติหลักการตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ซึ่งกรณีดังกล่าวสำนักงบประมาณเห็นด้วยกับแนวทางที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการก่อสร้างตามความจำเป็นเร่งด่วน และตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปีงบประมาณ (2552-2554)

แต่ต่อมากลับมีการเปลี่ยนแปลงสัญญา จากเดิมที่ให้ประมูลเป็นรายภาค กลายเป็นรวมประมูลรายเดียวทั่วประเทศ ส่งผลให้การก่อสร้างไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จตามสัญญา ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขยายระยะเวลาการก่อสร้างไปอีกจำนวนหลายครั้ง

แต่ผู้รับจ้างก็ไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาจ้างได้ จนสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2556 เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความ เสียหาย

ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้บริษัท พีซีซี ดีเวลล๊อปเมนท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1,728,629,606 บาท

ไม่เพียงแค่นั้น ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายสุเทพกับพวก ทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) 163 หลัง เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสียหาย 3,994 ล้านบาท โดยมีมติว่าการกระทำของนายสุเทพ เป็นกรรมเดียวกับการเปลี่ยนแปลงสัญญาจัดจ้าง และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญา แต่สุดท้ายอัยการสูงสุดก็มีมติไม่สั่งฟ้อง

ป.ป.ช.จึงยื่นฟ้องเองในส่วนของทุจริตแฟลตตำรวจไปเมื่อเดือนก.ค. 2564

ที่เหลือก็อยู่ที่กระบวนการศาลจะพิจารณา ซึ่งต้องว่าเรื่องการต่อสู้ทางคดีหรือข้อกฎหมาย

ส่วนใครต้องรับผิดชอบกับความสูญเสียของประเทศ 5 พันกว่าล้านบาท คงได้รู้กันในลำดับต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน