เป็นคดีที่สังคมยังจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด สำหรับคดีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ เมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นเหตุการเสียชีวิตจากกระสุนเอ็ม 16 จากเจ้าหน้าที่ทหาร คาด่านตรวจรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่ศาลเชียงใหม่ไต่สวนการตายมาแล้ว ระบุว่าเสียชีวิตจากฝีมือเจ้าหน้าที่ นำไปซึ่งการฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อให้กองทัพบกจ่ายค่าชดเชยให้กับครอบครัวของนายชัยภูมิ มาคราวนี้ก็คืบหน้าอีกขั้นหนึ่ง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ระบุว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารถือเป็นการป้องกันตัวเองโดยชอบ ส่งผลให้ครอบครัวต้องต่อสู้ต่อไปในชั้นฎีกา พร้อมยกประเด็นที่ยังคาใจ ทั้งเรื่องวงจรปิดลึกลับที่มีแต่อดีตผบ.ทบ.และอดีตแม่ทัพภาค 3 ที่เคยได้เห็น พร้อมชี้ประเด็นว่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมแค่ไหน หากยังปล่อยให้ค้างคาใจต่อไป ซึ่งจะต้องรอดูว่าเมื่อถึงบทสรุปจะเป็นอย่างไร และจะส่งผลถึงระดับไหนในอนาคต ศาลอุทธรณ์ยืนคดีชัยภูมิ ป่าแส สำหรับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2565 โดยศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ พ 2591/2562 ที่นางนาปอย ป่าแส มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมเยาวชนสิทธิมนุษยชน ชาวลาหู่ เป็นโจทก์ฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลย ให้ชดใช้ทางละเมิด กรณีเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองทัพบก วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ เหตุเกิดที่ด่าน รินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค.60 โดยคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้อง ให้กองทัพบกไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย เนื่องจากเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่ศาลอุทธรณ์เองมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยืนยันว่าเป็นการป้องกันตัว ทั้งนี้ นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความจากภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่เข้ามาช่วยเหลือในฐานะทนายโจทก์ระบุว่า ขั้นตอนต่อไปสามารถยื่นฎีกาได้ภายในเวลา 30 วัน แต่ก็มีขั้นตอนที่ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายนัก เนื่องจากต้องให้ผู้พิพากษาที่นั่งบัลลังก์หรือตัดสินในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์หรือทั้ง 2 ศาลที่ยกฟ้องคดีไปนั้น “รับรองว่าคดีนี้มีปัญหาสำคัญอันควรเข้าสู่การพิจารณาของศาลสูงหรือศาลฎีกา” แต่ก็ยืนยันจะทำให้ถึงที่สุด เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวของนายชัยภูมิ นายรัษฎาระบุอีกว่า เหตุการณ์นี้ยังมีข้อคลางแคลงใจอยู่อีกหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ทั้งที่หลังเกิดเหตุทั้งนายตำรวจระดับสูง และอดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ต่างให้สัมภาษณ์ตรงกันว่าได้เห็นภาพเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดแล้ว แต่ในชั้นการไต่สวนการตายของนายชัยภูมิ โดยศาลจังหวัดเชียงใหม่ก็ไม่ได้มีการนำมาเปิดเผย นายรัษฎากล่าวอีกว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่ศาลแพ่ง ทางทนายความก็ได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานที่เป็นกล้องวงจรปิด แถมมีเจ้าหน้าที่มาให้การต่อศาลด้วยว่ามีการทำสำเนาไว้ด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกนำมาเสนอต่อศาล ซึ่งก็จะเป็น 1 ในประเด็นการยื่นฎีกาด้วย ทนายความระบุอีกว่า นอกจากนี้ที่ศาลระบุว่าเป็นการป้องกันตัวนั้น ก็เกิดคำถามกรณีเรื่องของยาเสพติด ว่าได้ตรวจสอบยาเสพติดที่พบหรือไม่ว่ามีสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ รวมทั้งรอยนิ้วมือของนายชัยภูมิปรากฏอยู่อย่างไรบ้าง เพราะตามบันทึกสอบสวน พบว่าของกลางยาเสพติดที่พบนั้นมาจากทหารนำส่งให้กับตำรวจ แต่ก็ยังไม่มีการคลี่คลายในประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด “ที่สำคัญก็คือวงจรปิดที่มีด่านรินหลวงเป็นด่านใหญ่ มีวงจรปิดอยู่ 9 ตัว มีห้องควบคุมชัดเจน เหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ควรนำมาเปิดเผย แม่เขาจะได้รู้ว่าลูกเขาตายอย่างไร ให้สิ้นสงสัยทั้งเรื่องนี้ และเรื่องกระบวนการยุติธรรม กลายเป็นคำถามว่าทุกภาคส่วนทำหน้าที่มากพอแล้วหรือไม่ ที่จะให้ความจริงปรากฏ และให้เกิดความยุติธรรมในสังคม” ต้องมีคำตอบจากความตายของ ‘ชัยภูมิ’ มีแต่บิ๊กทหารได้ดูวงจรปิด สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อช่วงสายของวันที่ 17 มี.ค. โดยข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระบุว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารร้อย ม.2 บก. ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ประจำจุดตรวจบ้านรินหลวง ตั้งจุดตรวจยาเสพติดบริเวณด่านทหารสามแยกรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกรถเก๋งฮอนด้า แจ๊ซ สีดำ ทะเบียน ขก 3774 เชียงใหม่ เพื่อตรวจค้น จนกระทั่งพบยาบ้า 2,800 เม็ดอยู่ในกรองอากาศรถ จึงจับกุมนายพงศ์นัย แสงตะล้า อายุ 19 ปี ชาวบ้านแม่ก๊ะ ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนขับรถ โดยขณะนั้นนายชัยภูมิ ป่าแส ชาวลาหู่ อายุ 17 ปี ที่นั่งข้างคนขับ ชักมีดออกมา แล้ววิ่งหนีไปประมาณ 200-300 เมตร เมื่อเจ้าหน้าที่วิ่งตามไปใกล้ถึงตัว ผู้ตายก็เงื้อระเบิดมือจะขว้างใส่ ทหารจึงยิงเอ็ม 16 เข้าใส่จนเสียชีวิต หลังเหตุการณ์ทางญาติของนายชัยภูมิต่างพากันออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม เนื่องจากนายชัยภูมิ ซึ่งเป็นนักกิจกรรมทางสังคม และไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภาค 5 ขณะนั้น ระบุว่านายชัยภูมิเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแน่นอน เคยถูกจนท.ล่อซื้อ โอนเงินมัดจำเสร็จสรรพ แต่พอนัดส่งยานายชัยภูมิหนีได้หวุดหวิด แถมยังโทรศัพท์ข่มขู่พยาน โดยตร.กำลังจะขอหมายจับ แต่ก็ถูกทหารวิสามัญเสียก่อน พร้อมระบุว่ารถแจ๊ซของนายชัยภูมิเป็นของเครือข่าย ยาเสพติดที่กำลังหลบหนีคดี ทะเบียนที่ใช้ก็ของปลอม และพบเส้นทางการเงินเข้าออกมากผิดปกติ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้น ระบุว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ พบว่าเป็นการจับกุมตามปกติ ทหารไม่ถืออาวุธใดๆ เลยใน ตอนแรก นอกจากชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ถืออาวุธเวลาเข้ายามตามปกติ เป็นการตรวจค้นรถธรรมดา จนกระทั่งขัดขืนจึงจับอาวุธขึ้นมา ทหารไปสอบถาม เพราะมีรถเข้ามาคันเดียว แหล่งซ่อนยาเสพติดก็ไม่มาก เด็กอีกคนไม่วิ่ง เพราะไม่รู้ว่ามียาซุกซ่อน นายชัยภูมิที่วิ่งหนีแล้วต่อสู้ “น้องพลทหารยิงเพียงนัดเดียว ขณะที่เขาทำท่าขว้าง ถ้าเป็นผม อาจกดออโต้ก็ได้ เขาตั้งใจทำงานต้องให้กำลังใจเขา ยิงนัดเดียวก็สมเหตุสมผล ยิงตรงแขน แต่กระสุนชิงไปโดนจุดสำคัญ อันนี้ก็เป็นบุญของน้องเขา มีเพียงแค่นี้” เช่นเดียวกับพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.ในขณะนั้น ก็ยืนยันว่าเห็นวงจรปิดแล้วเช่นกัน เป็นวงจรปิดที่มีแต่บิ๊กทหารได้ดู!?! แฉก่อนหน้าก็มีวิสามัญเหมือนกัน ไม่เพียงแค่นั้น ยังเกิดลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 15 ก.พ. 2560 โดยเป็นเหตุวิสามัญฯ นายอาเบ แซ่หมู่ อายุ 32 ปี โดยทหารในเขตพื้นที่รับผิดชอบของร้อย ม.2 บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 เช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าตรวจยาเสพติด ระหว่างนั้น นาย อาเบขัดขวางการจับกุม และพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ ด้วยการขว้างระเบิดใส่ คล้ายคลึงกันอย่างน่าตกใจ!?? สำหรับนายชัยภูมินั้น เป็นชาวลาหู่ วัยเพียง 17 ปี เป็นนักกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม ดนตรี ภาพยนตร์ และกิจกรรมวัฒนธรรมอื่นๆ เพื่อให้ห่างไกลยาเสพติด ผลงานเพลงของชัยภูมิ ได้แก่ เพลงเพื่อคนไร้สัญชาติ ชื่อ “จงภูมิใจ” ผลงานภาพยนตร์สั้นได้แก่การเป็นทีมงานภาพยนตร์เรื่อง ‘เข็มขัดกับหวี’ ได้รางวัลช้างเผือกพิเศษ ดีเด่น เทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 16 จัดโดยมูลนิธิหนังไทย และ ‘ทางเลือกของจะดอ’ ได้รางวัลชมเชยรัตน์ เปสตันยี รวมถึงร่วมเป็นทีมงานในสารคดีที่ผลิตโดยกลุ่มรักษ์ลาหู่ เช่นรายการ ‘บ้านเธอก็บ้านฉัน’ ออกอากาศทางช่องไทยพีบีเอส ชัยภูมิยังได้เป็นผู้นำในการฟื้นฟูการเต้นแจโก่ของชาวลาหู่จนได้รับการยอมรับในหมู่บ้าน เป็นผู้นำคณะเด็กและเยาวชนกลุ่มรักษ์ลาหู่จากบ้านกองผักปิ้งออกแสดงในหลายพื้นที่ ล่าสุดร่วมกับศิลปินญี่ปุ่นจากเมืองโอซากาทำนิทานเพลงเรื่องขนมออฟุและตำนานภาษาลาหู่ ด้วยความที่เป็นนักกิจกรรม และทุกคนในสังคมแวดล้อมเชื่อมั่นว่าไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แถมมีภาพนิ่งขณะทหารตรวจค้น นายชัยภูมิยังช่วยเจ้าหน้าที่เปิดฝา กระโปรงรถด้วยซ้ำ จนจินตนาการไม่ออกเลยว่าหลังจากนั้นไม่กี่นาที ทำไมชัยภูมิจึงวิ่งหนี แล้วยังระบุอีกว่า ควักระเบิดปาใส่เจ้าหน้าที่ได้ ตราบใดที่ไม่เปิดวงจรปิดให้เห็นกันชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น คำถามเหล่านี้ก็จะวนเวียน และส่งผลกระทบต่อประเด็นความยุติธรรมอย่างประเมินค่าไม่ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน