สดจากสนามข่าว

อรรณพ เพ็ชรภิมล เรื่อง/ภาพ

“อันธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครถึงเรือนชานต้องต้อนรับ” คำสำนวนที่บ่งบอกถึงการเป็นเจ้าบ้านที่ดีของประเทศไทย หนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่หลั่งไหลมาสัมผัสธรรมชาติอันงดงาม

รวมถึงการเป็นดินแดน “สยาม เมืองยิ้ม” หรือ “แลนด์ออฟสมายล์” ที่ประทับจิตผู้มาเยือน

สถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทยเมื่อปี 2560 มีมากถึงเฉียดๆ 50 ล้านชีวิต

เมื่อมีผู้คนเข้ามามากมายขนาดนี้ ก็ต้องมีทั้งคนดีและคนเลวร้ายปะปนกันไป

ล่าสุดยังเกิดคดีวุ่นๆ ขึ้นบนเกาะไข่มุกแห่งอันดามัน จ.ภูเก็ต เมื่อกลางดึกวันที่ 9 เม.ย. จู่ๆ พนักงานสอบสวน สภ.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ก็ได้รับแจ้งจากพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งว่า มีคนร้ายกระชากกระเป๋านักท่องเที่ยวสาวชาวต่างชาติ เหตุเกิดบริเวณทางลงหาดสุรินทร์ ต.เชิงทะเล

หลังรับแจ้งเหตุ พ.ต.อ.เสริม ขวัญนิมิตร ผกก. พ.ต.ท.สมพงค์ จุลเรือง รอง ผกก.สส. และพ.ต.ต.สัณหวิชญ์ สนิทวงศ์ สวป. ก็นำกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจและ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนรุดไปให้ความช่วยเหลือทันที

ที่เกิดเหตุพบหญิงสาวชาวต่างชาติ ยืนรออยู่ด้วยความกระวนกระวาย เมื่อเข้าไปสอบถามก็ทราบความว่าชื่อ จูเรียน่า โลเปซคาซาเรซ อายุ 32 ปี สัญชาติอาร์เจนตินา

เหยื่อสาวจากแดนไกลให้การว่า ขณะที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้าทางขึ้นหาดสุรินทร์ มีคนร้ายจำนวน 3 คน ใช้รถจักรยานยนต์ 2 คัน ไม่ทราบลักษณะ ขับรถมาทางด้านหลัง ก่อนที่คนร้าย 1 คนลงจากรถมากระชากกระเป๋าสะพายสีเหลือง และขับรถหลบหนีไป

โดยสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋า ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก ยี่ห้อ เลนโนโว่ ราคาประมาณ 30,000 บาท, กล้องถ่ายรูป ยี่ห้อ โอลิมปัส ราคาประมาณ 22,500 บาท, เงินไทย 4,000-5,000 บาท, แว่นกันแดด ราคาประมาณ 9,000 บาท, หน้ากากดำน้ำ และนาฬิกา ราคาประมาณ 9,000 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 75,500 บาท

ผู้กำกับการเสริมสั่งตำรวจในสังกัดทุกนายกระจายกำลังออกสืบหาเบาะแสคนร้าย เพื่อจับตัวมาลงโทษฐานทำผิดอาญาบ้านเมือง และที่สร้างชื่อเสียให้ประเทศชาติ

เจ้าหน้าที่อีกส่วนก็พานักท่องเที่ยวสาวไปสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง ที่สภ.เชิงทะเล โดยมีตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ร่วมสอบปากคำ นอกจากนั้นยังประสานไปยังสถานทูตอาร์เจนตินา เพื่อให้รับรู้ถึงข่าวร้ายของพลเมืองตัวเอง

แต่ขณะที่พนักงานสอบสวนสอบปากคำ น.ส.จูเรียน่าก็มีพิรุธหลายอย่างที่ส่อว่าจะเป็นการโกหก ทั้งการแอบมองขณะ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานที่เกิดเหตุ

เมื่อทราบว่าเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบภาพวงจรปิด น.ส.จูเรียน่าทำทีคล้ายว่าจะไม่แจ้งความ และขอเดินทางกลับโรงแรมที่พัก เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปส่งถึงที่พักก็แสดงอาการไม่อยากให้ข้อมูลใดๆ

หลังพบพิรุธดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ทั้งจุดที่แจ้งว่าถูกชิงทรัพย์ ร้านสะดวกซื้อใกล้เคียง และหน้าโรงแรมที่พัก

ก่อนจะพบความจริงในภาพว่า น.ส. จูเรียน่าเดินออกจากโรงแรมที่พักไปร้านสะดวกซื้อ โดยไม่มีกระเป๋าทรัพย์สิน แต่อย่างใด มีเพียงโทรศัพท์มือถือ ที่น.ส. จูเรียน่าเดินเล่นไปด้วยและเดินกลับ ก่อนที่จะเข้าไปแจ้งพนักงานที่หน้าฟรอนต์ของโรงแรมว่า ถูกคนร้ายชิงกระเป๋า เพื่อให้ช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ

และไม่พบบุคคลต้องสงสัยที่คาดว่าจะเป็นคนร้ายตามคำ กล่าวอ้าง

เจ้าหน้าที่จึงเชิญตัวน.ส.จูเรียน่ามาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง จนยอมรับสารภาพว่า ได้กุเรื่องทั้งหมดขึ้นหวังใช้บันทึกแจ้งความ กลับไปเอาเงินประกันที่ทำไว้เมื่อเดินทางกลับประเทศ ส่วนทรัพย์สินที่อ้างว่าถูกวิ่งราวไปนั้น ได้ฝากเพื่อนที่เดินทางกลับไปฮ่องกงแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

พ.ต.ท.สมพงค์เปิดเผยว่า จากเบาะแสที่เจ้าหน้าที่ได้รับ คดีความในลักษณะดังกล่าว เกิดขึ้นบ่อยครั้ง สืบเนื่องจากนักท่องเที่ยวจะทำประกันไว้ กรณีทรัพย์สินสูญหาย เมื่อจะเดินทางกลับก็วางแผนกุเรื่องก่อนแจ้งความ

โดยเลือกในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ และจะพยายามเร่งให้ตำรวจออกเอกสารบันทึกแจ้งความ เพื่อรีบนำกลับไปเบิกเงินประกัน ซึ่งการกระทำลักษณะดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อ ชื่อเสียง และความเชื่อมั่นด้านมาตรการความปลอดภัยของประเทศไทย

เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการให้เด็ดขาด เพื่อไม่ให้เป็น เยี่ยงอย่างกับรายอื่นๆ ที่คิดกระทำลักษณะเดียวกัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน