อุดมเกียรติ ทิพย์ศรีกุล – เรื่อง/ภาพ

คดีอาชญากรรมที่คนร้ายเป็นคนต่างชาติ หลายคดีตำรวจสามารถสืบสวนจนรู้ตัวผู้ก่อเหตุ แต่ก็ไม่สามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีได้ เนื่องจากคนร้ายหลบหนีออกนอกประเทศไปเสียแล้ว โดยเฉพาะพวกที่เป็นมืออาชีพมักมีการเตรียมการวางแผนล่วงหน้า ชนิดที่ว่าลงมือปุ๊บก็ดิ่งไปสนามบิน ขึ้นเครื่องลอยนวลออกนอกประเทศปั๊บเลยทีเดียว

การจะจับกุมคนร้ายพวกนี้ ตำรวจจึงต้องอาศัยความรวดเร็ว การบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานจึงจะประสบความสำเร็จ

เช่น คดีคนร้ายบุกชิงทรัพย์ร้านแลกเงิน ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจโรงพักนาจอมเทียนสืบสวนจนรู้ตัวคนร้าย ก่อนประสานงานสกัดจับทั้งตำรวจทางหลวง ตำรวจท่องเที่ยวและตรวจคนเข้าเมือง จนสามารถจับกุมตัวได้ในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง

ย้อนไปเมื่อเช้าวันดังกล่าว ร.ต.อ.หญิงลลิตา เณรพงษ์ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.นาจอมเทียน จ.ชลบุรี รับแจ้งเกิดเหตุคนร้ายชายชาวต่างชาติบุกชิงทรัพย์ร้านรับแลกเงินตราต่างประเทศริมถนนสุขุมวิท ฝั่งตรงข้ามโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ จอมเทียน หมู่ 2 ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี คนร้ายทำร้ายพนักงานหญิงได้รับบาดเจ็บแล้วชิงเงินสดไปได้เกือบ 1 ล้านบาท

หลังรับแจ้งจึงรีบรายงานให้พ.ต.อ. อาทร ชิ้นทอง ผกก.สภ.นาจอมเทียนรับทราบ พร้อมประสานตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานชลบุรี ตำรวจชุดสืบสวน และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง รุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุเป็นบูธรับแลกเงินตราต่างประเทศ ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท พบร่างน.ส.สุนีย์ แก้วอยู่ อายุ 30 ปี พนักงานสาวได้รับบาดเจ็บนอนสลบอยู่ในสภาพหน้าตาปูดบวม คิ้วแตก เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่ง โรงพยาบาล จากนั้นตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดภายในร้านพบว่า

เมื่อเวลา 08.37 น. มีชายชาวต่างชาติ ผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่มีกล้าม สวมหมวกกันน็อกสีดำ สวมเสื้อสีดำ สวมกางเกงขาสามส่วนสีดำ มีรอยสักที่ต้นแขนซ้าย เข้ามาทำร้ายโดยการรัวหมัดชกเข้าที่ใบหน้าน.ส.สุนีย์ จำนวน 13 หมัดจนสลบ

ก่อนชิงเอากระเป๋าที่มีเงินสดไว้สำหรับแลกเงินเกือบ 1 ล้านบาทหลบหนีไป โดยใช้พาหนะเป็นรถจักรยานยนต์ฮอนด้า พีซีเอ็กซ์ สีดำ ทะเบียน 1 กร 2825 ชลบุรี

พ.ต.อ.อาทรสั่งการให้ชุดสืบสวนติดตามตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์จนพบว่าเป็นรถเช่า โดยมีชายชาวรัสเซียเป็นคนมาเช่าไป ชุดสืบสวนไล่ติดตามจากกล้องวงจรปิดไปจนพบว่ารถถูกจอดทิ้งไว้ภายในบ้านเลขที่ 119/96 หมู่บ้านดุสิตเลค 2 ซอยวัดญาณสังวราราม หมู่ 11 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี แต่ไม่พบตัวเจ้าของบ้าน จึงยึดมาตรวจสอบ

ตร.เช็กข้อมูลคนเช่ารถจนทราบว่าชื่อนายนิโคไล รีบาลอฟ อายุ 32 ปี สัญชาติรัสเซีย โดยหลังก่อเหตุขับขี่รถจักรยานยนต์ กลับเข้ามาจอดไว้ในบ้าน ก่อนเปลี่ยนเป็นรถเก๋งขับหลบหนีไป จึงได้ประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจทางหลวง และตำรวจท่องเที่ยว รวมทั้งตำรวจในพื้นที่ใกล้เคียงเฝ้าสกัดจับ

ต่อมาเวลา 17.00 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสนามบินสุวรรณภูมิ เข้าจับกุมนายนิโคไลได้ขณะเตรียมตัวเดินทางออกนอกประเทศ บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง ตรวจค้นในตัวพบทรัพย์สินเป็นเงินสดทั้งไทยและเงินดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยจำนวน 997,097 บาท แต่เจ้าตัวยืนกรานปฏิเสธจึงควบคุมตัวส่ง สภ.นาจอมเทียน สอบสวนดำเนินคดี

รุ่งขึ้นวันที่ 15 เม.ย. พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. เดินทางมายัง สภ.นาจอมเทียน เพื่อร่วมสอบปากคำนายนิโคไล โดยมีพล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภาค 2 พ.ต.อ.อาทร ชิ้นทอง ผกก.สภ.นาจอมเทียน พ.ต.ท.ปิยะพงษ์ เอกสาร สารวัตรตำรวจท่องเที่ยวพัทยา กำลัง ตม.ชลบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

พร้อมกันนี้ยังได้เชิญตัว น.ส.ชัชชญา ชัยยะยางกูร อายุ 33 ปี เจ้าของบูธเงิน ดังกล่าวเข้าร่วมฟังด้วย ซึ่งเบื้องต้นยังคงให้การภาคเสธ

พล.ต.อ.เฉลิมกียรติเผยว่า ผู้ต้องหาเคยเป็นทหารในรัสเซีย ก่อนออกมาทำอาชีพค้าคอนโดฯ และรถยนต์ โดยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 3 เดือนแล้ว เช่าบ้านอยู่กับภรรยาในบ้านที่เข้าตรวจค้น โดยเตรียมแผนจะย้ายมาปักหลักที่เมืองพัทยา แต่ยังหางานทำไม่ได้จนเงินใกล้หมด จึงอาจเป็นกรณีที่ตัดสินใจก่อเหตุในครั้งนี้

อย่างไรก็ตามผู้ต้องหายังคงให้การภาคเสธ โดยกล่าวว่าเงินที่พบเป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่จากการตรวจพบของกลางทั้งเสื้อผ้า รถจักรยานยนต์ รถยนต์ ถุงมือ และหมวกนิรภัยที่พบในบ้านพัก รวมทั้งเงินสดและเป้บรรจุเงินที่สนามบิน พบว่ามีลักษณะตรงกันและใกล้เคียงกับภาพวงจรปิดอย่างมาก

จากนี้จะนำหลักฐานทั้งหมดส่งไปตรวจพิสูจน์ที่นิติวิทยา ศาสตร์ จากนั้นจะได้รวบรวมสำนวนเพื่อส่งฟ้องศาลต่อไป

อดีตทหารรายนี้ถูกตั้งข้อหาชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะและทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส พร้อมกันนี้ตำรวจจะสอบสวนขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการ อาทิ ภรรยาของผู้ต้องหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นด้วยหรือไม่

ขณะที่น.ส.ชัชชญาได้มอบช่อดอกไม้พร้อมกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ติดตามจับกุมคนร้ายและตามเงินคืนมาได้อย่างรวดเร็ว ก่อนเผยถึงอาการของน.ส.สุนีย์ พนักงานที่ถูกทำร้ายพบว่าหนักพอสมควร แต่แพทย์ตรวจแล้วไม่มีอาการกระทบกระเทือนทางสมองและภาวะจิตใจดีขึ้นแล้ว

ผลสำเร็จของการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ทำให้ติดตามจับกุมคนร้ายได้อย่างรวดเร็วทันท่วงทีก่อนจะเผ่นหนีออกนอกประเทศ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน