เห็นกระบวนท่าของ “พรรคคสช.” ที่ดำเนินการกับนักการเมืองบางพรรค บางกลุ่ม ในขณะนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงกระบวนท่าของ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เมื่อปี 2550

โดยเฉพาะผ่านพรรคมัชฌิมาธิปไตย

เราเห็นภาพบางภาพของนักการเมืองจากบ้าน “ซอยราชครู” ซึ่งสะสมความจัดเจนจากพรรคชาติไทย พรรคชาติพัฒนา ต่อสายเข้าไป

แล้วก็หงายหลังกันออกมา

เราเห็นภาพ นายเสนาะ เทียนทอง เข้าไปแถลงข่าวร่วมกับ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ แล้วก็หงายหลังออกมาพร้อมกับบทสรุปจากปากเด่นชัด

“อนุบาล” ทาง “การเมือง”

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ก็เข้าสู่กระบวนการทางการเมืองเหมือนกับ “เสี่ย” บางเสี่ยซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วในทางธุรกิจ

ที่สำคัญก็คือ มีเงินอยู่ในมือ

เมื่อเห็น นายทักษิณ ชินวัตร ประสบความสำเร็จในการสร้างพรรคไทยรักไทยก็ประเมินว่าการเมืองคงไม่มีอะไรสลับซับซ้อน วิศวกร นักธุรกิจ อย่างตนคงทำได้ไม่ยาก

จึงตั้งพรรคขึ้นด้วยความฮึกเหิม มั่นใจ

ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อได้กลุ่มของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน มาร่วมงานเป็นกลุ่มสุดท้ายยิ่งมากด้วยความมั่นใจเป็นอย่างสูง

แต่ที่สุดพรรคมัชฌิมาธิปไตยก็กลายเป็นอดีต

ณ วันนี้ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ล้างมือในอ่างทองคำ ถอนตัวออกจากยุทธจักรการเมืองไปแล้ว แต่ชื่อเสียงของพรรคมัชฌิมาธิปไตยก็ยังอยู่

อยู่คู่มากับบทบาทของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน

กลายเป็นว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นคอทั่ง สันหลังเหล็ก มีความแข็งแกร่งและมีความเหนือกว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หลายกระเบียด

วันนี้มีข่าวว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จะเข้าร่วมส่วนกับ “พรรคคสช.”

บทเรียนและประสบการณ์จากการร่วมกับ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จึงย้อนกลับมาให้แวดวงการเมืองได้ตระหนักกันอีกหนหนึ่ง

คราวนี้ใครล่ะที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จะ “ปั้น”

แวดวงการเมืองไทยดูเผินๆ เหมือนกับใหญ่โต กว้างขวาง แต่เอาเข้าจริงๆ ก็มีผู้คนที่วนไปวนมาไม่เกินกว่า 1,000 คน

ยิ่งเป็นคนมีชื่อ มีป้าย ยิ่งมีจำนวนน้อย

เมื่อบรรดาขุนทหารที่ทะยานจากกระบวนการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จะกระโจนเข้าสู่การเมืองผ่าน “พรรคคสช.” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ดูเหมือนภาระจะตกเป็นของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อีกครั้ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน