ทิ้งหมัดเข้ามุม

รุก กลางกระดาน

 

กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคม สำหรับกรณีของ เบส อรพิมพ์ รักษาผล นักพูดร้อยฉายา ที่เดินสายทำภารกิจรับใช้คสช. เป็นเครื่องมือให้กับกองทัพ ตามที่เจ้าตัวประกาศในเวทีสาธารณะหลายแห่ง

เพราะคำพูดจาในบางกรณีบางเรื่องไปเสียดแทงหัวใจประชาชน อย่างที่ไปพูดเหมารวมถึงคนภาคอีสาน จนรู้สึกเหมือนถูกดูถูก และกลายเป็นคดีความกันในเวลานี้

แม้เจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธพัลวัน อ้างเป็นเพียงแค่การพูดปลุกใจให้นิสิตนักศึกษามีจิตสำนึกมากขึ้น

แต่คนส่วนใหญ่ฟังแล้วกลับไม่รู้สึกไปในทิศทางที่ต้องการ

ถือเป็นบทเรียนที่นักพูดคนนี้จะต้อง ไปแยกแยะให้ออก ระหว่าง “ปลุกใจ” กับ “ปลุกปั่น”

อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าตัวยอมรับผิด สังคมก็รับฟังและให้โอกาส

แทนที่จะจบลงด้วยดี กลับลุกลามบานปลายด้วยการแถกันตะพึดตะพือ สร้างเรื่องสร้างราวว่ามีกลุ่มก้อนขบวนการอยู่เบื้องหลังคอยจัดฉาก

 

ทั้งที่พูดก็พูดกันเอง คนจ้างก็จ้างเอง แต่พอถูกต่อต้านตำหนิ ก็โทษนั่นโทษนี่

เป็นวิธีหนีความผิดที่ไม่ดีเอาเสียเลย

นอกจากนี้ ยังมีอีกประเด็นที่ไม่ควรปล่อยผ่านไปง่ายๆ ซึ่งก็คือค่าตอบแทนการพูดของเบส อรพิมพ์

ที่ลือกันถึงขนาดว่าแพงลิบลิ่วถึงชั่วโมงละ 3 หมื่นบาท!??

 

สูงกว่ารายได้ทั้งครัวเรือนของชาวนาเกษตรกรทั้งเดือนหลายเท่าตัว

จริงๆ แล้วหากค่าจ้างชั่วโมงเป็นแสน ถ้าเป็นเงินจ้างจากบริษัทเอกชนห้างร้านต่างๆ ก็คงไม่มีใครว่า

แต่กรณีนี้กลับมีข้อสังเกตว่าเงินที่จ่ายเป็นค่าจ้างนั้นเป็นงบประมาณของหน่วยงานของรัฐ

ซึ่งก็มาจากภาษีประชาชน!??

 

ประชาชนที่ทุกวันก็ลำบากยากแค้นอยู่พอตัว กลับเจอข้อสงสัยว่าหน่วยงานราชการที่ใช้ภาษีชาวบ้านเป็นเงินเดือนเบี้ยหวัด ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย จนเจ้าของเงินต้องมองตาปริบๆ

แถมยังส่อว่าจะขัดกับระเบียบการเบิกจ่ายของทางราชการ

จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐที่ว่าจ้างนักพูดคนนี้ไป ต้องออกมาชี้แจงว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

อย่าพูดมั่วๆ ปัดๆ ไปให้พ้นตัว

ประชาชนจะเสื่อมศรัทธา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน