แฟ้มคดี

นับเป็นบทสรุปของคดีโดยคำพิพากษาของศาล

สำหรับคดีที่มือปืนรัวสังหาร เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม นักแม่นปืนทีมชาติ เสียชีวิตคาเก๋งปอร์เช่ ขณะกำลังเดินทางไปหาภรรยาที่บ้านพัก

และด้วยการทำงานที่รอบคอบรัดกุม ทำให้สามารถจับกุมทีมสังหารได้

ก่อนจะพบความจริงตามพยานหลักฐานที่น่าตระหนก ว่าที่แท้คนสั่งตายก็คือหมอนิ่ม ภรรยาของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์นั่นเอง

แม้ว่าแม่ของหมอนิ่มจะออกรับแทนว่าเป็นผู้จ้างวาน

แต่จากพยานหลักฐานที่ปรากฏชัด ทำให้กลายเป็นคำพิพากษาประหารหมอนิ่ม

และยกฟ้องแม่ที่ออกรับแทน

%e0%b8%aa%e0%b8%941

เปิดคำพิพากษาศาลชั้นต้น

เช้าวันที่ 19 ธ.ค. 2559 ศาลจังหวัดมีนบุรี ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.383/2557 ที่พนักงานอัยการ และนายมานพ พณิชย์ผาติกรรม บิดาเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ เป็นโจทก์ร่วม

ยื่นฟ้อง นายจิรศักดิ์ หรือ จี กลิ่นคล้าย อายุ 35 ปี อาชีพรับจ้าง มือปืน น.ส.สุรางค์ ดวงจินดา อายุ 74 ปี แม่ พญ.นิธิวดี หรือ หมอนิ่ม แม่ยายเอ็กซ์-จักรกฤษณ์ พญ. นิธิวดี นายสันติ หรือ อี๊ด ทองเสม ทนายความ และ นายธวัชชัย หรือ อ้น เพชรโชติ อายุ 35 ปี คนขี่จยย.ให้มือปืน

เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จ้างวานใช้ ยุยงส่งเสริมให้ฆ่า มีและพกพาอาวุธปืน ยิงอาวุธปืนในที่ทางสาธารณะ

และขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 4.4 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จำเลยทั้ง 5 ปฏิเสธ

โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่าระหว่างเดือน ส.ค.-19 ต.ค. 2556 จำเลยที่ 2-4 ร่วมกันจ้างวานใช้นายจิรศักดิ์ จำเลยที่ 1 กับพวกฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ใช้ปืนออโตเมติก ยี่ห้อลูเกอร์ รุ่นโตกาเรฟ ขนาด 7.62 ม.ม. ยิงนายจักรกฤษณ์หลายนัด กระสุนถูกที่หน้าอก หัวใจ ปอด จนถึงแก่ความตาย ก่อนหลบหนีไป เหตุเกิดที่แขวงและเขตมีนบุรี กทม.

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งห้าแล้ว ข้อเท็จ จริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ผู้ตาย อยู่กินฉันสามีภรรยากับหมอนิ่ม จำเลยที่ 3 มีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาวันที่ 19 ต.ค. 2556 นายจักรกฤษณ์ถูกคนร้ายร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตาย

คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่

%e0%b8%aa%e0%b8%942

โดยน.ส.วรพรรณภูรี หรือแหม่ม มนตรีอารีกุล พยาน เบิกความว่า ต้นปี 2556 พยานทราบจากสื่อโทรทัศน์ว่า ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีและขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ จึงพูดคุยทางโทรศัพท์เคลื่อนที่กับจำเลยที่ 3 ซึ่งปรึกษาขอให้หาคนมาช่วยปรามผู้ตายไม่ให้ทำร้ายจำเลย ที่ 3

จนกระทั่งนายฐปนวัฒน์ จิ้วไม้แดง ญาติของพยาน พาทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 มาที่โรงพยาบาลเสรีรักษ์ ขณะที่หมอนิ่มพักรักษาในห้องผู้ป่วยพิเศษ เพื่อรักษาตัวจากการแท้งบุตรหลังถูกผู้ตายทำร้าย

โดยหมอนิ่มนั่งโซฟาคุยกับนายฐปนวัฒน์ และทนายอี๊ด โดยมีธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท วางอยู่ 6 มัด ประมาณ 6 แสนบาท อยู่บนโต๊ะ

จำเลยที่ 3 บอกนายฐปนวัฒน์ กับทนายอี๊ดให้ช่วยจัดการผู้ตายให้หน่อย ใช้เวลาคุยประมาณ 10 นาที จากนั้นจำเลยที่ 4 ก็เก็บเงินใส่ซองสีน้ำตาล หมอนิ่มบอกอีกว่า ผู้ตายใช้รถปอร์เช่ สีดำ ทะเบียน ก 2223

และยังระบุอีกว่า หลังเกิดเหตุตำรวจแจ้งว่า ตนถือเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด และขอให้ช่วยเหลือจำเลยที่ 3 จึงให้การ ในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างวานฆ่า

เปิดปมสั่งฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์

ศาลเห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ได้จากคำเบิกความของน.ส.วรพรรณภูรี ถ้อยคำมีลักษณะซัดทอดผู้กระทำความผิดอื่นด้วยกัน และเปลี่ยนข้อเท็จจริงหลายครั้งตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาเบิกความต่อศาลในชั้นพิจารณา

การพิจารณารับฟังพยานโจทก์ปากนี้จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง และต้องพิจารณาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือ

ขณะที่ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูนสวัสดิ์ เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อได้สอบพยานผู้เกี่ยวข้องและรวบรวมหลักฐานต่างๆ สรุปได้ว่าความขัดแย้งที่นำไปสู่การสังหารผู้ตายเกิดจากความขัดแย้งในครอบครัว

ซึ่งในประเด็นดังกล่าวโจทก์มีน.ส.โชติกา (ขอสงวนนามสกุล) เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ผู้ตายคบหามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ผู้ตายเคยพาพยานไปที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3 จนเป็นที่ไม่พอใจของจำเลยที่ 3 ผู้ตายเคยพาพยานมาค้างที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3

ผู้ตายนัดหมายให้พยานมาพบในวันที่ 11 ก.ค 56 เนื่องจากผู้ตายมีนัดถ่ายทำรายการกีฬา แต่พยานไม่อยากมา ผู้ตายโทร.ตามจนพยานมาที่บ้านและถูกผู้ตายทำร้ายและทำลายทรัพย์สินแล้วพาไปสนามกีฬาเพื่อถ่ายทำรายการ

ส่วนจำเลยที่ 3 ขับรถอีกคันตามไป ระหว่างที่ผู้ตายถ่ายทำรายการให้พยานนั่งเฝ้ากระเป๋าเงินและทรัพย์สิน พยานรู้สึกหิวน้ำกำลังจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงิน จำเลยที่ 3 เห็นจึงเข้าไปด่าว่าพยานจนไม่กล้าหยิบเงิน เมื่อพักถ่ายรายการจำเลยที่ 3 เข้าไปฟ้องผู้ตายว่า พยานจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงินของผู้ตาย แต่กลับถูกผู้ตายไม่พอใจผลักศีรษะของจำเลยที่ 3 และยังท้าทายจำเลยที่ 3 อีกว่าหากไม่พอใจเลิกกัน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 มีสีหน้าไม่พอใจ

ศาลเห็นว่า เหตุการณ์ที่ผู้ตายกระทำต่อจำเลยที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นการพาผู้หญิงอื่นมาค้างที่บ้าน การไม่ให้เกียรติจำเลยที่ 3 ผลักศีรษะจำเลยที่ 3 และท้าทายให้เลิกกันต่อหน้าผู้หญิงอื่นซึ่งมีความสัมพันธ์กับผู้ตาย

ย่อมสร้างความขุ่นเคืองและนับเป็นฟางเส้นสุดท้ายต่อความอดกลั้นและอดทนต่อพฤติกรรมของผู้ตายที่มีปัญหาติดยาเสพติด ความเจ้าชู้ และใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายและจิตใจจำเลยที่ 3

นอกจากนี้พบว่าจำเลยที่ 3 จดทะเบียนบริษัทใหม่ที่ลดสัดส่วนหุ้นผู้ตายลง เท่ากับต้องการกำจัดผู้ตายออกจากการเป็นเจ้าของคลินิก โดยจำเลยที่ 3 ทราบถึงอุปนิสัยใจคอของผู้ตายดีอยู่แล้วว่า หากผู้ตายทราบเรื่อง ย่อมต้องไม่พอใจ และอาจทำร้ายจำเลยที่ 3 ได้

จากลำดับเหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 3 ย่อม เป็นมูลเหตุจูงใจจำเลยที่ 3 ในการสังหารผู้ตายได้

ประหารหมอนิ่ม-ยกฟ้องแม่

เมื่อประกอบกับการสืบสวนของพ.ต.อ.นพศิลป์ ที่เบิกความจากการถอดข้อมูลโทรศัพท์ของน.ส.วรพรรณภูรี และจำเลยที่ 3 พบมีการติดต่อกันอย่างผิดปกติ โดยจำเลยที่ 3 แจ้งความเคลื่อนไหวของผู้ตายให้พยาน เพื่อให้แจ้งให้จำเลยที่ 4 ทราบอีกที

%e0%b8%aa%e0%b8%943

จากการให้ถ้อยคำของจำเลยที่ 1 ต่อพนักงานสอบสวน ได้ความว่า ประมาณเดือนก.ย.2556 จำเลยที่ 4 ว่าจ้างจำเลยที่ 1 และที่ 5 ให้ไปยิงผู้ตายโดยให้ค่าจ้างคนละ 100,000 บาท จำเลยที่ 5 ทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ มีจำเลยที่ 1 เป็นมือปืนลงมือยิง แล้วพากันหลบหนีไป

สำหรับจำเลยที่ 2 ขณะ น.ส.วรพรรณ ภูรี เข้าให้ข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวน ครั้งแรกก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมกระทำความผิด

แต่เพิ่งปรากฏตามคำให้การเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ว่าเป็นคนบอกให้ น.ส.วรพรรณภูรี หาคนมาเก็บผู้ตาย และในชั้นสอบสวนของน.ส.วรพรรณภูรี กลับมีทนายจำเลยที่ 2 มาทำหน้าที่ทนายความให้ทั้งที่ให้การปรักปรำจำเลยที่ 2

และน.ส.วรพรรณภูรี กลับคำให้การจากคำให้การเดิมซึ่งยืนยันตลอดมาว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ว่าจ้าง ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งขอให้การปฏิเสธ แต่กลับให้การปรักปรำตนเองอันมีลักษณะเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อเป็นการช่วยเหลือ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตร จึงยังมีความสงสัยอยู่ตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2

จึงพิพากษาว่า ให้ประหารชีวิต นายจิรศักดิ์ และนายธวัชชัย จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต และให้ประหารชีวิต พญ.นิธิวดี และนายสันติ จำเลยที่ 3-4 ฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ซึ่งทางนำสืบและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และ 5 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษคนละ 1 ใน 3 จึงให้จำคุกตลอดชีวิตนายจิรศักดิ์ และ นายธวัชชัย

และร่วมกันชดใช้เงิน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีแก่โจทก์ร่วม

ปิดคดีสั่งตายที่น่าเศร้า

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน