เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา สั่งยกฟ้องยิงถล่มขวัญชัย ชี้หลักฐานไม่น่าเชื่อถือ จี้รื้อคดีหาคนร้ายตัวจริง

 

เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา – ถือเป็นคดีที่สิ้นสุดแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกา

สำหรับกรณีคนร้ายใช้อาวุธสงครามบุกยิงถล่มบ้านของขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดงอุดรธานี หวังสังหารให้สิ้นชื่อ

แต่นายขวัญชัย ก็ยังไม่ถึงฆาต กระสุนถูกไหล่และขาขวาบาดเจ็บสาหัส

ด้วยที่เป็นคดีอุกฉกรรจ์ท้าทายอำนาจรัฐ แถมยังหวังผลทางการเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงลงมาทำคดีอย่างจริงจัง

ไม่นานก็จับกุมผู้ต้องหาได้ชุดใหญ่ ส่งฟ้องพร้อมหลักฐานและคำรับสารภาพ

สุดท้ายเมื่อถึงชั้นศาลก็มีคำสั่งยกฟ้องถึง 3 ศาลรวด

ให้เหตุผลว่าหลักฐานไม่น่าเชื่อถือ และคำรับสารภาพรับฟังไม่ได้

เป็นคำสั่งที่ต้องเคารพ

เมื่อครั้งทำแผน

แต่ก็ยังมีอีกประเด็นที่ตามมาว่าในเมื่อทั้ง 6 คนเป็นผู้บริสุทธิ์ตามคำพิพากษา

แล้วคนร้ายตัวจริงคือใคร

คสช.ที่กุมอำนาจรัฐมานานกว่า 4 ปี จะทำให้ประจักษ์ได้หรือไม่

 

ศาลฎีกายกฟ้อง-ยิงขวัญชัย

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 18 ก.ย. นายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง จ.อุดรธานี เดินทางมาที่ศาลจ.อุดรธานี เพื่อรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีดำที่ 1000/57 คดีหมายเลขแดงที่ 1351/59

โดยคดีดังกล่าวมีพนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจ.ส.อ.มาวิน ยางบัว กับพวกรวม 6 คน ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น

นายวีระ พรหมอยู่ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดอุดรธานี อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ระบุว่า ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายขวัญชัยร่วมนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน มีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิง จากริมรั้วบ้านด้านนอก กระสุนปืนถูกแขนและขาขวาของนายขวัญชัย ได้รับอันตรายสาหัส

หลังเกิดเหตุร้ายขึ้นรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ทอง หลบหนีไปทางบ้านสามพร้าว พบร่องรอยกระสุนปืนบริเวณเสารั้วคอนกรีตและรั้วเหล็ก ตัวบ้านและหลังคาบ้าน รวม 40 รอย และมีปลอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 43 ปลอก อยู่บริเวณพื้นริมรั้วด้านนอก จึงยึดปลอกกระสุนปืน หัวกระสุนปืนและเศษชิ้นส่วนของหัวกระสุนปืน 10 ชิ้น เป็นของกลาง

ต่อมาวันที่ 13 ก.พ. 2557 ชาวบ้านพบอาวุธปืนกลเล็ก (AK 47) 3 กระบอก อยู่ในน้ำคลองลำตะคล้อ ใต้สะพานหมู่ที่ 15 ต.กันจุ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ทางหลวงหมายเลข 225 กิโลเมตรที่ 50-51 (ถนนหนองบัว-ชัยภูมิ)

ตรวจสอบกับปลอกกระสุนปืน และหัวกระสุนปืนพร้อมเศษชิ้นส่วนของกลางแล้ว เป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงนายขวัญชัย 2 กระบอก

ต่อมาตำรวจจับกุม นายมะดือนัง มะแซ จำเลยที่ 6 ตามหมายจับของศาลเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2557 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2557 ส่วนจำเลยที่ 5 มอบตัวเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2557 ชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 6 ให้การปฏิเสธ

อาการสาหัส

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยทั้ง 6 เป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
โดยพยานฝ่ายโจทก์ ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุขณะขี่จักรยานยนต์มุ่งไปทางสี่แยกสามพร้าว ก่อนถึงบ้านนายขวัญชัย 10 เมตร มีคนร้ายสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่หมวกไอ้โม่งสีดำทั้งชุดยืนอยู่นอกรั้วริมถนน มีรถกระบะสีบรอนซ์ทองจอดอยู่ข้างหลัง

คนร้ายใช้ปืนยาวยิงเข้าไปในบ้านนายขวัญชัยหลายนัด เช่นเดียวกับพยานที่ทำงานร้านคาร์แคร์ตรงข้ามบ้านนายขวัญชัย ที่ระบุว่าได้ยินเสียงดังคล้ายประทัดหลายนัด มองไปที่ต้นเสียง เห็นคนร้ายใช้ปืนยิง โดยคนร้ายใส่เสื้อแขนยาวสีดำ สวมหมวกไอ้โม่งสีดำ ท้ายกระบะมีเงาดำๆ

แต่ไม่เห็นหน้าคนร้ายและเลขทะเบียนรถ!??

 

จำเลยสารภาพก็ฟังไม่ได้

นอกจากนี้จากการนำสืบจากพนักงานของรีสอร์ตที่จำเลยเข้าพัก รวมทั้งหญิงสาวชาวลาวที่มาขายบริการทางเพศ จะยืนยันว่าทั้ง 6 มาเปิดห้องพัก ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 2557 -22 ม.ค. 2557

ซึ่งเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุ รวมทั้งกล้องวงจรปิดจากสี่แยกสามพร้าว มาจากรีสอร์ตดังกล่าว ผ่านบ้านของนายขวัญชัย พบภาพปิกอัพสีบรอนซ์อยู่ในจุดต่างๆ แต่ก็เป็นภาพของแต่ละกล้อง ไม่ใช่ภาพเคลื่อนไหวจากวงจรปิดตัวเดียวกัน

รถกระบะที่เห็น ทั้งยี่ห้อ รุ่น และสี ก็มีจำหน่ายใช้กันอยู่ทั่วไป ไม่ได้มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ บางภาพก็ไม่สอดคล้อง มีทั้งคนนั่งกระบะท้าย และไม่มีคนนั่ง จึงไม่แน่ชัดว่าเป็นรถกระบะคันเดียวกัน และมาจากรีสอร์ตที่พักหรือไม่

ส่วนข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือก็ไม่มีที่มาของข้อมูล ทั้งไม่ได้หมายเลขโทรศัพท์ และเครื่องโทรศัพท์เป็นของกลาง เพื่อเชื่อมโยงยืนยันการวิเคราะห์ให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ

การตรวจสอบ ทำได้แต่เพียงหาตำแหน่งของหมายเลขโทรศัพท์ และหมายเลขเครื่อง โดยอาศัยเสาสัญญาณตามวงรัศมี ซึ่งเป็นพื้นที่กว้างๆ ไม่น่าจะได้รายละเอียดถึงขนาดจะกำหนดจุดที่ตั้งหรือรู้ถึงการกระทำของผู้ใช้โทรศัพท์ได้

การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จึงเป็นเพียงความเห็น มิใช่ข้อเท็จจริงที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 6 ร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่เป็นทีมชี้เป้า ทีมยิงโจทก์ร่วม และทีมวางแผน ส่วนนายมะดือนัง แม้ชั้นสอบสวนครั้งแรก จะให้การรับสารภาพ แต่คำให้การรับสารภาพนั้นเป็นเพียงพยานบอกเล่า การวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า

ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพัง เพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน

คำรับสารภาพของจำเลยที่ 6 ไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นที่รู้เห็นมายืนยันสนับสนุน อาวุธปืนที่ใช้ในการกระทำผิดก็ไม่ได้จากจำเลยที่ 6 หรือได้มาโดยผลของคำรับสารภาพ

อีกทั้งไม่มีประจักษ์พยานใดเห็นคนร้ายยิงปืนจากกระบะท้าย และหากนั่งยิงปืนในกระบะท้าย ปลอกกระสุนก็น่าจะตกอยู่ในกระบะ แต่ที่เกิดเหตุกลับพบปลอกกระสุนที่ริมรั้ว

ต่อมานายมะดือนัง ให้การปฏิเสธ คำสารภาพของนายมะดือนัง จึงไม่มีน้ำหนักพอให้ฟังลงโทษได้
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

เท่ากับเป็นผลให้คดีดังกล่าวได้จบลงแล้วอย่างสิ้นเชิง

จุดที่ยิง

เหลือแต่คำถามว่า หาก 6 จำเลยที่ถูกยื่นฟ้องเป็นผู้บริสุทธิ์จริง

เท่ากับคนร้ายตัวจริงที่ลงมืออย่างอุกอาจ ยังคงลอยนวล

และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าคดีนี้มีส่วนเชื่อมโยงกับการเมืองอยู่ไม่น้อย

หากไม่สามารถคลี่คลาย ก็คงทำให้ประชาชนนอนหลับอย่างเป็นสุขได้ยากขึ้นกว่าเดิม

 

เปิดคำฟ้องคดีโหด

สำหรับต้นเหตุของคดีดังกล่าว คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2557 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 6 ร่วมกันมีอาวุธปืนกลเล็ก เอเค 47 ขนาด 7.62 มิลลิเมตร มีเลขหมายประจำปืน รวม 3 กระบอก และกระสุนขนาดเดียวกันมากกว่า 43 นัด

จำเลยทั้ง 6 และพวกร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปตามถนนสายบ้านหนองลีหู-บ้านแมด อันเป็นในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และไม่มีเหตุอันควร ทั้งมิใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์

จากนั้นจำเลยทั้ง 6 กับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายขวัญชัย ผู้เสียหายหลายนัด โดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยทั้งหกกับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล

เนื่องจากกระสุนปืนถูกต้นแขนและขาของผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้รับการรักษาไว้ทัน จึงไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน

เหตุเกิดที่ตำบลสามพร้าว อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี หลังเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดปลอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 43 ปลอก กระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 3 ลูก รองลูกกระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 4 ชิ้น แกนลูกกระสุนปืนขนาด 7.62 มิลลิเมตร 3 ชิ้น และอาวุธปืนกลเล็ก 3 กระบอก เป็นของกลาง

จำเลยทั้ง 6 ให้การปฏิเสธ

ฟังคำพิพากษา

โดยคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบของกลาง ยกคำร้องคดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์ เรื่องขึ้นสู่การพิจารณาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ผลออกมาพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา อัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา

ปิดคดีไปด้วยคำพิพากษายกฟ้อง

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน