สงครามการค้าไม่จบ #คอลัมน์วงล้อเศรษฐกิจ
วงล้อเศรษฐกิจ – ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ ในวันที่ 6 พ.ย.2561 ที่ออกมาปรากฏว่า พรรคเดโมแครต สามารถครองคะแนนเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ ในขณะที่ พรรครีพับลิกัน ยังสามารถครองคะแนนเสียงในวุฒิสภาไว้ได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีนัยต่อการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ในระยะต่อไปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2563
ผลการเลือกตั้งที่ออกมายิ่งกระตุ้นให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้นโยบายด้านต่างประเทศแบบแข็งกร้าวและเดินบนเส้นทางโดดเดี่ยวยิ่งขึ้น เนื่องจากนโยบายการค้ายังอยู่ในอำนาจของประธานาธิบดี โดยเฉพาะการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ตามมาตรการปกป้องการค้าที่ไม่เป็นธรรม มาตรา 301
ผลกระทบจากสงครามการค้าดำเนินมาสู่จุดสูงสุดในปี 2562 และจะทยอยคลี่คลายหลังจากนั้น ซึ่งผลกระทบที่เกิดเป็นภาพต่อเนื่องมาจากปี 2561 ที่สหรัฐ และจีนต่างตอบโต้กันร้อนแรงตลอดปี ที่เริ่มตั้งแต่การเก็บภาษีรอบแรกมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีแห่งอนาคตของจีน
ตามมาด้วยมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ที่ขยายเข้ามาสู่กลุ่มสินค้าวัตถุดิบเพื่อการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าในครัวเรือน
คาดว่าสหรัฐจะเดินหน้าใช้คำสั่งประธานาธิบดีเก็บภาษีสินค้าจากจีนรอบสุดท้ายต่อไป เพื่อแสดงจุดยืนของนโยบายและเร่งสร้างผลงานทางการเมือง ก่อนเข้าสู่ฤดูการเลือกตั้งในปี 2563
โดยมองว่า มีความเป็นไปได้ที่จะลงนามบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีสินค้าจีนที่เหลือ 2.67 แสนล้านดอลลาร์ หลังการเลือกตั้งภายในปี 2561 นี้ และอาจเริ่มเก็บภาษีสินค้าดังกล่าวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เป็นต้นไป
โดยสรุป สงครามการค้าที่สหรัฐ กับจีนที่เริ่มขึ้นในปี 2561 ทวีความรุนแรงเรื่อยมาและจะยังคงส่งผลกระทบรุนแรงลากยาวไปตลอดปี 2562 ซึ่งนับว่าเป็นปีแห่งความยากลำบาก ที่นานาชาติ รวมทั้งไทย ต้องเผชิญผลกระทบ 2 ฝั่ง ประกอบด้วย 1.ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ กับจีน ที่ส่งผ่านมายังห่วงโซ่การผลิตของไทย
และ 2.ผลกระทบจากการอ่อนแรงของเศรษฐกิจและกำลังซื้อของตลาดทั่วโลก โดยรวมแล้วทำให้การส่งออกไทยในปี 2562 สูญเสียประโยชน์สุทธิ 3,100-4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.6-0.9% ของจีดีพีไทย
โดยบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด