วิเคราะห์การเมือง : จุดแยก แตกต่างหลัง ปลดล็อก การเมือง เมื่อ 11 ธันวาคม
วิเคราะห์การเมือง : จุดแยก แตกต่างหลัง ปลดล็อก การเมือง เมื่อ 11 ธันวาคม สถานการณ์ก่อนกับสถานการณ์ “หลัง” มีคำประกาศปลดล็อกพรรคการเมืองจากประกาศและคำสั่งคสช.และหัวหน้าคสช.มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
สถานการณ์ “ก่อน” ฝ่ายที่ได้เปรียบคือ “คสช.”
นั่นเห็นได้จากความสามารถในการเคลื่อนไหว “ฝ่ายเดียว” ไม่ว่าจะโดยผ่าน “ครม.สัญจร” ไม่ว่าจะโดยผ่าน “สามมิตรสัญจร”
ผลักดัน “ประชารัฐ” เดินหน้า เต็มเหนี่ยว
กระนั้น พลันที่มีคำสั่ง “ปลดล็อก” ให้พรรคการเมืองสามารถเคลื่อนไหวได้มากยิ่งขึ้นนับแต่วันที่ 11 ธันวาคม เป็นต้นมา
สภาพการณ์ “ใหม่” ก็ก่อสถานการณ์ “ใหม่” ขึ้น
รูปธรรมสดๆ ร้อนๆ หนึ่งก็คือ การเดินสายไปพบและอยู่ในท่ามกลางประชาชนมิได้เป็นในด้านของคสช.และของพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น
ตรงกันข้าม พรรคการเมืองต่างๆ ก็ทำได้เต็มที่
การผูกขาดภาพและข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ 4 รัฐมนตรีอันเป็นคนของพรรคพลังประชารัฐ แต่เพียงฝ่ายเดียวเริ่มมิได้เป็นเช่นนั้น
เริ่มมีภาพของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคเพื่อไทย
เริ่มมีภาพของ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ภาพของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ภาพของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จากพรรคไทยรักษาชาติ
และเริ่มมีภาพของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์
ขณะเดียวกัน กระบวนการเคลื่อนไหวของแต่ละพรรคการเมืองก็เริ่มมีสีสัน มิใช่ได้ยินแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิใช่ได้ยินแต่ 4 ยอดกุมารแห่งพรรคพลัง ประชารัฐ
ตรงกันข้าม ได้ยินเสียง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ไม่เพียงแต่เรียกร้องให้ 4 รัฐมนตรียื่นใบลาออก หากแต่ยังปล่อยข่าวถึงการจับจองเก้าอี้รัฐมนตรีล่วงหน้าของบางคนแห่งพรรคพลังประชารัฐ
พรรคประชาธิปัตย์ก็ชี้ถึงความล้มเหลวทาง “เศรษฐกิจ”
แผ่นเสียงที่ดังในสังคมมิได้เป็นแผ่นเสียงซ้ำซาก ตกร่องอันดังมาจากคสช.และรัฐบาล หากแต่มีการประสานมาอย่างคึกคัก
เกิดสีสันทางการเมืองอย่างแตก แปลกต่างออกไป
ต้องยอมรับว่าเพียงสถานการณ์ในขั้นเริ่มต้นของการก้าวไปสู่ “การเลือกตั้ง” ก็ทำให้เห็นความแตกต่างไปจากที่เคยประสบนับแต่หลังรัฐประหารเป็นต้นมา
นี่ต่างหากคือความเป็น “ประชาธิปไตย” ในทางเป็นจริง
นี่ต่างหากคือสิ่งที่ประชาชนรอคอยด้วยความอึดอัดคับข้องที่ต้องตกอยู่ภายใต้การบริหารอันเป็นเผด็จการมาตลอด 4 ปีเต็ม
และเมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ก็จะมีการ ตัดสินใจ