แฟ้มคดี

กลายเป็นเหตุอื้อฉาวดังไปทั่วโลก สำหรับเหตุการณ์ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของไทย ก่อเหตุลักขโมยภาพวาดที่ติดอยู่ในโรงแรมของประเทศญี่ปุ่น

แล้วก็ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ในที่สุด

แต่สุดท้ายก็สามารถกลับคืนสู่เมืองไทยได้โดยไร้ซึ่งคดีความ

ด้วยความสามารถของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ส่งเจ้าหน้าที่ช่วยประสานเจรจา

จึงจบลงด้วยว่าคู่กรณีที่เป็นผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ ขณะที่ข้าราชการใหญ่ของไทยก็จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหาย

พร้อมขอโทษยอมรับผิด

เป็นเหตุให้อัยการญี่ปุ่นสั่งไม่ฟ้อง

สุดท้ายแม้เจ้าตัวจะทนความอับอายไม่ไหว ต้องยื่นหนังสือลาออกจากราชการ

แต่กระแสสังคมก็ยังสงสัยถึงกระบวนการต่างๆ ว่าหากคนทำผิดไม่ต้องรับโทษ

จะถือเป็นบรรทัดฐานของสังคมต่อไปได้หรือไม่

 

  • รองอธิบดีอายจัด-ยื่นลาออก

หลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวไปทั่วโลก ด้วยการตกเป็นผู้ต้องหาขโมยภาพวาด 3 ภาพ ที่ติดประดับภายในโรงแรม ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา จนสุดท้ายได้รับความช่วยเหลือจนเดินทางกลับสู่ประเทศไทย

นายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ก็ตัดสินใจเขียนจดหมายลาออกจากตำแหน่ง ลงวันที่ 31 ม.ค. โดยระบุว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่าตำรวจญี่ปุ่นจับข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ตำแหน่งรองอธิบดี ในข้อหาลักทรัพย์ อันเป็นภาพเขียน 3 ภาพจากโรงแรมที่พัก ซึ่งต่อมาได้ชดใช้ค่าเสียหายและขออภัยต่อโรงแรม โดยโรงแรมมิได้ติดใจเอาความ พนักงานอัยการแห่งนครเกียวโตจึงยุติคดีและปล่อยตัว

“กระผมนายสุภัฒ คือบุคคลตามข่าว รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ต่อกระทรวงพาณิชย์ และต่อประชาชนคนไทย รวมถึงประเทศไทย ในชั้นนี้จึงใคร่ขอโทษต่อรมว.พาณิชย์ ปลัดกระทรวง ผู้บริหารกระทรวง เพื่อนข้าราชการทุกท่านและสำคัญที่สุดคือประชาชนชาวไทย”

ขอโอกาสชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนดังกล่าว เมื่อเสร็จภารกิจในการเดินทางไปราชการที่ประเทศญี่ปุ่น กระผมมีโอกาสสังสรรค์กับเพื่อนชาวญี่ปุ่น ที่เป็นเพื่อนสมัยที่ผมไปศึกษาที่ญี่ปุ่น ได้สนุกสนานกันเต็มที่จนเผลอตัวดื่มสุรามากเกินไป

เป็นเหตุให้เมามายจนขาดสติ โดยไม่รู้ตัวและกระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ

ตลอดระยะเวลารับราชการ 33 ปี ตนทุ่มเทต่อการทำงาน ไม่เคยมีประวัติที่ก่อให้เกิดความเสียหาย มุ่งมั่นตั้งใจที่จะอยู่รับราชการจนเกษียณ แต่เมื่อมีเหตุที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย ก็ขอแสดงความรับผิดชอบ

จึงขอแสดงเจตจำนงผ่านคำแถลงนี้ว่าจะขอลาออกจากตำแหน่งราชการ โดยจะยื่นใบลาออกให้ถูกต้องเป็นทางการต่อไป

อย่างไรก็ตามทราบดีว่า การขอลาออกจากราชการมิได้ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงกระบวนการตามระเบียบราชการได้ และเมื่อสืบสวนหาข้อเท็จจริง รวมทั้งหากต้องมีการดำเนินการทางวินัย ก็น้อมรับและยินดีให้ความร่วมมือให้ข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่

ถือเป็นความรับผิดชอบที่แสดงออก

 

  • เปิดเหตุผลอัยการญี่ปุ่นไม่ฟ้อง

อย่างไรก็ตาม แม้นายสุภัฒจะลาออกจากตำแหน่ง แต่การสอบสวนโทษทางวินัยของกระทรวงพาณิชย์ ก็ยังต้องดำเนินไปตามระเบียบของทางราชการ

โดย น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ แถลงว่าผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายสุภัฒพบแล้วว่า นายสุภัฒมีความผิดวินัยร้ายแรง ฐานกระทำความผิดที่ส่งผลต่อชื่อเสียง ภาพลักษณ์ข้าราชการ ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ

ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็คือการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยมีคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมเป็นคณะกรรมการ โดยมีตัวแทนจากกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน

ทั้งนี้ผลของคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จะพิจารณาบทลงโทษ ที่มี 2 ลักษณะ คือปลดออกและไล่ออก

หากปลดออกก็ยังจะได้รับบำเหน็จและบำนาญ แต่หากโดนไล่ออกก็จะไม่ได้รับทั้ง 2 อย่าง

ซึ่งต้องรอดูว่าการพิจารณาจะมีผลออกมาอย่างไร

ทั้งนี้สำหรับคดีความดังกล่าวก็มีความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะสงสัยว่ารัฐบาลไทยเข้าไปช่วยเหลืออะไรเกี่ยวกับคดีหรือไม่

โดย นายธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด อธิบายข้อกฎหมายเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า เรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจว่าการสั่งฟ้องคดีของอัยการญี่ปุ่น ใช้หลักการฟ้องคดีอาญาโดยดุลพินิจ

ทำให้อัยการญี่ปุ่นมีอิสระในการสั่งคดี และมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องคดีบางคดีได้ แม้จะมีหลักฐานเพียงพอควรเชื่อได้ว่าผู้ต้องหากระทำความผิดจริง

ประกอบกับประเทศญี่ปุ่นมีการบังคับใช้กฎหมายชะลอการฟ้อง และมาตรการแทนการฟ้องคดีอาญา ซึ่งเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับทฤษฎีอาชญาวิทยาสมัยใหม่

ที่ไม่ต้องการลงโทษผู้กระทำความผิดทุกคน แต่ให้โอกาสผู้กระทำความผิดที่ไม่ใช่ผู้กระทำผิดโดยสันดานปรับปรุงแก้ไขความประพฤติของตนเพื่อกลับคืนเข้าสู่สังคม

คดีลักทรัพย์ภาพวาดนี้ตามกฎหมายญี่ปุ่นไม่ถือเป็นความผิดร้ายแรง เมื่ออัยการญี่ปุ่นเห็นว่าไม่ได้สร้างความเสียหายแก่สังคม ประกอบกับผู้กระทำผิดไม่มีประวัติการกระทำความผิดมาก่อน ผู้กระทำผิดได้สำนึกผิด ยินดีชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด โรงแรมที่เป็นผู้เสียหายก็ยินยอมให้ชดใช้ค่าเสียหายและไม่ติดใจเอาความ

จึงเป็นเหตุให้อัยการไม่สั่งฟ้อง

 

  • ย้อนเหตุฉกภาพวาดในโรงแรม

สำหรับคดีดังกล่าวตกเป็นเรื่องอื้อฉาวทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ม.ค. โดยเริ่มจากเว็บไซต์สื่อท้องถิ่นในประเทศญี่ปุ่น รายงานว่าตำรวจเมืองเกียวโต จับกุมตัวนายสุภัฒ สงวนดีกุล อายุ 60 ปี รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ พร้อมตั้งข้อหาขโมยภาพวาดที่แขวนตกแต่งไว้บริเวณทางเดินภายในโรงแรม

โดยระบุว่าภาพวาดที่ถูกขโมยไปมี 3 ภาพ หายไปจากทางเดินบริเวณชั้นที่ 9 และ 10 โดยพนักงานของโรงแรมสังเกตเห็นว่าภาพวาดบริเวณทางเดินสูญหายไป

จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิด จนกระทั่งนำไปสู่การจับกุม

ขณะที่ นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง โดยข้าราชการที่ตกเป็นข่าว คือนายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์

โดยถูกจับกุมที่โรงแรมในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น จากความผิดฐานขโมยภาพวาดจำนวน 3 ภาพจากโรงแรม และอัยการญี่ปุ่นส่งเรื่องให้ศาลพิจารณาแล้ว

ซึ่งในวันที่ 27 ม.ค. ทางการญี่ปุ่นนัดให้ผู้แทนสถานกงสุลใหญ่ไทย ณ นครโอซากา เข้าพบผู้ต้องหา และหารือร่วมกับตำรวจและอัยการ ขณะที่สถานีตำรวจเมืองเกียวโตแจ้งว่ากำลังนำตัวรองอธิบดีส่งฟ้องศาลข้อหาลักทรัพย์

ขณะที่เว็บไซต์ สำนักข่าวอาซาอี ชิมบุน ของญี่ปุ่น รายงานว่าภาพวาดที่ถูกขโมยไปทั้ง 3 ภาพ เป็นภาพวิวทิวทัศน์ทั่วไป มีขนาดเล็ก คือกว้าง 40 เซนติเมตร สูง 35 เซนติเมตร มูลค่า 15,000 เยน หรือราว 4,600 บาท

สำหรับขั้นตอนการถูกจับกุมนั้นทราบว่า นายสุภัฒตกเป็นผู้ต้องสงสัยขโมยรูปภาพของโรงแรม เมื่อวันที่ 24 ม.ค. สอบสวนเบื้องต้น นายสุภัฒยอมรับข้อกล่าวหา โดยได้ลงมือขโมยรูปตั้งแต่ช่วงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 23 ม.ค. โดยเป็นรูปประดับทางเดินระหว่างชั้น 9 กับชั้น 10 ที่โรงแรมในเขตนากาเงียว-คู

จนกระทั่งเที่ยงคืนของวันเดียวกัน พนักงานโรงแรมพบว่าภาพวาดหายไป จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในเวลา 07.15 น. ของวันที่ 24 ม.ค. ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด ก็แสดงภาพการทำอาชญากรรมของผู้ต้องสงสัย

ต่อมาเวลา 10.00 น. ขณะที่นายสุภัฒ เช็กเอาต์ออกจากโรงแรม พนักงานที่รับผิดชอบจึงชี้ตัวยืนยัน เมื่อตรวจสอบกระเป๋าถือ สัญญาณตรวจจับขโมยฉุกเฉินก็ดังขึ้น และพบหลักฐานเป็นรูปที่ขโมยไป

ทั้งนี้นายสุภัฒ เดินทางไปเมืองเกียวโตโดยลำพัง และพักโรงแรมดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค.

สำหรับนายสุภัฒ นั้นจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและโท ด้านเศรษฐศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยนาโงย่า ประเทศญี่ปุ่น เริ่มรับราชการที่กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2527 จากนั้นเติบโตตามลำดับ เป็นเลขานุการโท สำนักงานที่ปรึกษาการพาณิชย์ กรุงออตโตวา

เลขานุการเอกฝ่ายการพาณิชย์ สำนักงานที่ปรึกษาการพาณิชย์ กรุงออตโตวา เลขานุการเอกฝ่ายการพาณิชย์ สำนักงานที่ปรึกษาการพาณิชย์ กรุงโตเกียว ที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ กรุงจาการ์ตา

อัครราชทูตที่ปรึกษา ฝ่ายการพาณิชย์ สำนักงานการพาณิชย์ในต่างประเทศ กรุงบรัสเซลส์ กงสุลฝ่ายการพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครซิดนีย์ ผอ.สำนักอาเซียน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ผอ.สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโอซาก้า และตำแหน่งสุดท้ายคือรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา

สุดท้ายต้องลาออกจากตำแหน่งเพราะเหตุอื้อฉาว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน