แฟ้มคดี

ถือเป็นคดีที่ทั่วโลกจับตามอง

สำหรับกรณี 2 พม่าจำเลยในคดีฆ่าโหดหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2557

เมื่อมีความพยายามปลุกกระแสว่าทั้งคู่ไม่ใช่คนร้ายตัวจริง

จนกระทั่งศาลเกาะสมุย ได้มีคำพิพากษาประหารชีวิตจำเลยทั้ง 2 โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานมัดชัด

ทั้งผลตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งพยานแวดล้อม

มาครั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นอีก

แต่ก็ยังเหลือโอกาสให้จำเลยได้ต่อสู้คดี ในชั้นศาลฎีกา

อุทธรณ์ยืนประหาร 2 พม่า

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 1 มี.ค. ที่ศาลจังหวัดเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์ที่ 1 อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในคดีฆาตกรรม น.ส. ฮานนาห์ วิทเธอริดจ์ อายุ 23 ปี และ นายเดวิด มิลเลอร์ อายุ 24 ปี นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ ธานี

มี นายซอลิน หรือ โซเรน ไม่มีนามสกุล เป็นจำเลยที่ 1 และ นายเวพิว หรือ วิน ไม่มีนามสกุล เป็นจำเลยที่ 2

โดยศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิเคราะห์คำอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 2 ที่อ้างว่าโจทก์ไม่มีเอกสาร และภาพถ่ายในขั้นตอนการจัดเก็บวัตถุพยาน การบรรจุปิดผนึก การส่งและรับวัตถุพยาน และการตรวจสอบวัตถุพยานบางขั้นตอนมาเป็นพยานนั้น

เห็นว่าในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับคดีนี้ นับแต่พนักงานสอบสวนรับแจ้งเหตุเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานไปจนถึงการตรวจพิสูจน์เสร็จสิ้น ผู้ตรวจพิสูจน์ออกรายงานส่งให้พนักงานสอบสวน มีเหตุการณ์ขั้นตอนที่ต้องดำเนินการหลายขั้นตอน

การทำเอกสาร ถ่ายภาพเหตุการณ์และขั้นตอนต่างๆ ทั้งหมดเพื่อเก็บไว้ย่อมเป็นไปไม่ได้

การที่โจทก์ไม่ได้เอกสารหรือภาพถ่ายของเหตุการณ์บางขั้นตอน เช่น ไม่ส่งภาพขณะที่ตรวจเก็บวัตถุพยานจากช่องคลอด ทวารหนัก และหัวนมของผู้ตายที่ 2 มาเป็นพยาน จึงไม่เป็นข้อพิรุธที่จะระแวงว่าเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ปฏิบัติงานในขั้นตอนในการตรวจเก็บ

เพราะสิ่งที่ทำให้ศาลเชื่อหรือไม่เชื่อพยานหลักฐานของโจทก์นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาพถ่ายภาพหนึ่งภาพใด หรือเอกสารฉบับหนึ่งฉบับใดของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง หรือขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น

แต่ศาลเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ก็โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานทั้งปวงที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดว่ามีเหตุผลเชื่อมโยง มั่นคงหนักแน่น จนแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิดนั้นโดยปราศจากความสงสัยใดๆ

สำหรับเหตุผลอื่นๆ ตามอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยทั้งสองไม่เป็นสาระ และไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ประหารชีวิต นายซอลิน จำเลยที่ 1 และนายเวพิว จำเลยที่ 2

 

ยืนตามศาลชั้นต้น

เปิดคำพิพากษาศาลชั้นต้น

สำหรับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2558

โดยศาลอ่านคำพิพากษา ระบุว่า โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานร่วมกันฆ่า นายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ ผู้ตายที่ 1 ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา น.ส. ฮานนาห์ วิกตอเรีย วิทเธอริจด์ ผู้ตายที่ 2 อันมีลักษณะการโทรมหญิง และร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน และจำเลยที่ 2 ลักทรัพย์โทรศัพท์เคลื่อนที่และแว่นกันแดดของผู้ตายที่ 1 ไปโดยทุจริต

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน เห็นว่าจุดที่จำเลยทั้งสองนั่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ สามารถมองเห็นผู้ตายทั้งสองเดินไปที่เกิดเหตุได้ แพทย์ตรวจและผ่าศพผู้ตายทั้งสอง พบดีเอ็นเอของคนร้ายมากกว่า 1 คนในช่องคลอด และช่องทวารหนักของผู้ตายที่ 2

เมื่อเปรียบเทียบดีเอ็นเอของจำเลย ทั้งสอง พบว่าดีเอ็นเอจากคราบอสุจิในช่องคลอดผู้ตายที่ 2 ตรงกับดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง

และเป็นการส่งตรวจทันทีทันใด เจ้าหน้าที่ไม่มีโอกาสเอาอสุจิที่อยู่ในร่างกายส่วนลึกของทั้งสองไว้ในช่องคลอดผู้ตาย

อีกทั้งพยานผู้เชี่ยวชาญระบุว่าพบบาดแผลฉีกขาดที่มุมล่างของปากช่องคลอด มีเลือดซึมออกมา แสดงว่าผู้ตาย ที่ 2 ถูกข่มขืนกระทำชำเราขณะที่ยังมีชีวิตจนสำเร็จความใคร่ มีพฤติกรรมสมคบคิด ร่วมกันผลัดเปลี่ยนกันข่มขืน

จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตนอันมีลักษณะโทรมหญิง

เมื่อพิจารณาบาดแผลที่ศีรษะและใบหน้าผู้ตายที่ 2 พบเป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่มีลักษณะเข้ารอบกันได้กับใบจอบ และสันจอบของกลาง และพบคราบโลหิตของผู้ตายที่ 2 ยิ่งทำให้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยว่าจอบของกลางจะไม่ใช่อาวุธสังหาร

ซึ่งบาดแผลดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการข่มขืน ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดว่าเป็นพฤติการณ์ที่ต่อเนื่อง เชื่อมโยง จนไม่อาจฟังเป็นอย่างอื่นได้

นอกจากจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายใช้จอบของกลางเป็นอาวุธทุบตีและฟันผู้ตายที่ 2

 

พฤติการณ์แห่งคดีรับฟังได้ว่า หลังจากจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา ผู้ตายที่ 2 แล้วใช้จอบของกลางตีและฟันผู้ตายที่ 2 หลายครั้งจนเป็นแผลฉีกลึกถึงฐานสมอง กระดูกหน้าผากเบ้าตาซ้ายแตกยุบผิดรูป จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า เพื่อปกปิดความผิดอื่น

ข้ออ้างจำเลยทั้งสอง เรื่องรายงานผลดีเอ็นเอ ล่ามภาษาพม่า การจัดหาทนายชั้นสอบสวน หรือที่ระบุว่าถูกทำร้ายร่างกายและถูกทรมานให้รับสารภาพในชั้นจับกุม จำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบ มีลักษณะเป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ

ไม่ใช่สาระทำให้ผลดีเอ็นเอไม่มีน้ำหนัก หรือส่งผลให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงไป

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้โทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด โดยฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 1 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดของตนให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง

ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราลักษณะโทรมหญิง ให้จำคุกทั้งสอง 20 ปี ฐานลักทรัพย์ จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี แต่รับสารภาพจำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานเข้าเมืองผิดกฎหมาย จำคุก 6 เดือน ฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 2 รับสารภาพเหลือจำคุกฐานละ 3 เดือน

เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสองแล้ว ก็ไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นของจำเลยทั้งสองมารวมอีกได้ คงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสองสถานเดียว ให้คืนจอบของกลางแก่เจ้าของ กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง 15,000 บาท แก่ทายาทของผู้ตาย ที่ 1

ย้อนปมคดีดังปี”57

สำหรับคดีดังกล่าว เป็นคดีสะเทือนขวัญเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2557 โดยในที่เกิดเหตุพบหลักฐานสำคัญคือก้นบุหรี่ยี่ห้อแอลเอ็ม ที่พบในที่เกิดเหตุ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็นดีเอ็นเอเดียวกับอสุจิ ที่พบในร่างของน.ส.ฮานนาห์

ที่สำคัญคือเป็นดีเอ็นเอของชาวเอเชีย

จึงไล่สอบสวนลูกจ้างในสถานประกอบการเกาะเต่า พร้อมเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ แต่ผลตรวจก็ไม่ตรงกับที่พบในก้นบุหรี่และอสุจิ

จนพบชาย 3 คน ประกอบด้วย นายเวพิว หรือ วิน นายซอลิน หรือ โซเรน และ นายเมา ซึ่งให้การวกวน แต่เมื่อไม่มีหลักฐาน ก็จำต้องปล่อยตัวไปชั่วคราว แต่หลังจากปล่อยตัว นายเวพิวก็ไปย้อมผมเป็นสีทอง ก่อนเดินทางออกจากเกาะเต่าทันที

เจ้าหน้าที่ที่ตามประกบ จึงล็อกตัวกลับมาสอบสวนอีกรอบนานกว่า 2 ชั่วโมง ก็รับสารภาพ และซัดทอดว่านายซอลิน ร่วมลงมือด้วย แต่นายเมากลับห้องพักไปก่อน นอกจากนี้ยังพบวงจรปิดว่านายเมาเป็นคนเดินไปซื้อบุหรี่ยี่ห้อดังกล่าวจากร้านสะดวกซื้อ ก่อนแบ่งให้เพื่อนๆ สูบ แล้วทิ้งไว้

เมื่อตรวจสอบดีเอ็นเอของทั้งคู่ ก็ปรากฏชัดเจนว่าคือคนร้ายในคดีนี้

ถือเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มัดคนร้ายจนดิ้นไม่หลุด

แต่ก็ยังเหลือช่องทางฎีกา ตามกระบวนการยุติธรรม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน