แฟ้มคดี

ปิดฉากลงไปเรียบร้อย สำหรับคดีวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ

หลังจากเจ้าหน้าที่ไล่ติดตามจากกล้องวงจรปิด

จนสามารถตัดผู้ต้องสงสัยจากคนนับหมื่นให้เหลือหลักร้อย และหลักสิบตามลำดับ

ก่อนจะติดตามผู้ต้องสงสัยเป็นรายบุคคล จนทราบทุกกิจวัตร ตั้งแต่ก่อนลงมือจนเสร็จสิ้นภารกิจ

จึงบุกเข้าค้นบ้านพักและได้หลักฐานครบถ้วน จับกุมลุงอดีตวิศวกร กฟผ.ไว้ได้

และเมื่อสอบปากคำจนรับสารภาพ ก็ถูกแจ๊กพอตทันที เมื่อปรากฏว่าลุงวิศวะก่อเหตุมาแล้วถึง 6 ครั้ง

เป็น 3 ครั้งของปี 2560 และ 3 ครั้งเมื่อปี 2550 ด้วย

ยอมรับทำคนเดียว ไม่มีใครสั่งการ

เหตุเพราะต้องการส่งสัญญาณไม่พอใจทหารที่รัฐประหารจนบ้านเมืองเสียหาย

เป็น “โลนวูล์ฟ” อีกคนหนึ่ง

เปิดคำสารภาพลุงมือบึ้ม

หลังจากเจ้าหน้าที่บุกเข้าค้นบ้านพักของ นายวัฒนา ภุมเรศ อดีตวิศวกรการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เมื่อคืนวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา แล้วสามารถยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับการประกอบระเบิดได้หลายรายการ ก่อนส่งตัวสอบเข้มในค่ายทหาร

จนเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2560 เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านทหาร และแก้แค้นแทน 6 ศพวัดปทุมฯ

ตั้งใจเลือกโรงพยาบาลทหาร และลงมือในวันครบรอบ 3 ปี คสช.

ยืนยันว่าลงมือทำคนเดียว ไม่มีผู้สั่งการใดๆ อยู่เบื้องหลัง

เจ้าหน้าที่ก็เร่งสอบปากคำคนใกล้ชิด ทั้งภรรยา และสาวคนสนิท เพื่อสืบเสาะหาเครือข่ายก่อการร้าย

ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่า การลงมือครั้งนี้เป็นการกระทำของคนคนเดียวจริงๆ

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว ควบคุมตัวนายวัฒนามาแถลง

นายวัฒนาระบุว่า เหตุระเบิดในปี 2550 และปี 2560 มีแรงบันดาลใจเหมือนกันทั้งหมด คือเป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ เพราะทำให้ประเทศชาติประสบความหายนะทางเศรษฐกิจ ตลอดจนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็ถูกลิดรอน

ทุกครั้งที่ก่อเหตุผมพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้กระทบกับประชาชนธรรมดา ไม่อยากให้ผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ให้เป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์ ต่อต้านรัฐบาลปฏิวัติ เพื่อส่งเสียงไปยังรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติว่าคนรากหญ้ามิได้ชื่นชมการกระทำของรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ ไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ใด ต้องขออภัยกับผู้บาดเจ็บด้วย

ยืนยันว่าทำคนเดียว ไม่มีเบื้องหลังฝ่ายการเมือง หรือบุคคลใดมาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ไม่มีใครให้เงินอุดหนุนด้วย เพราะต้นทุนทำระเบิดเพียงลูกละ 50 บาทเท่านั้น ไม่อยากให้เรียกว่าระเบิด แต่ให้เรียกว่าประทัดยักษ์

หากไม่ถูกจับก็ไม่ก่อเหตุอีกแล้ว เพราะที่บ้านตอนนี้ไม่มีระเบิดแล้ว มีเพียงแผงวงจรที่เอาไว้ทดสอบทางเทคนิคเท่านั้น

ผมไม่ได้เกลียดทหาร รักทหาร แต่ไม่ชอบทหารบางคนที่ใช้ประชาชนเป็นฐานก้าวสู่อำนาจ

เป็นคำสารภาพของมือระเบิดป่วนกรุง

“โลนวูล์ฟ”ต่อต้านรัฐประหาร

ขณะที่การสืบสวนเบื้องต้นก็พบว่านายวัฒนาลงมือทำคนเดียวจริง ไม่มีเครือข่ายชักใยหรือสั่งการมาจากกลุ่มใด

โดยประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหมระบุว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จะต้องดูว่าเมื่อสืบสวนสอบสวนแล้วหมดแค่นี้จริงหรือไม่ ซึ่งต้องดูรายละเอียดทั้งหมดเพราะเราไม่ได้ไว้วางใจ แต่ยอมรับว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงผูกมัดไปยังบุคคลอื่น

ไม่ยืนยันว่าเป็นขบวนการที่เกลียดชังรัฐบาล เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับนายวัฒนาเพียงคนเดียว ที่ผ่านมาไม่พบขบวนการที่เกี่ยวข้องกับนายวัฒนา

ส่วนที่กังวลว่าจะมีพฤติกรรมเลียนแบบ เชื่อว่าคงไม่มีใครเก่งแบบนี้ทุกคน ไม่น่าจะมีใครวางระเบิดแบบนี้ได้ทุกคน

ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ที่ระบุว่าพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุเป็นแบบรายย่อย และทำแบบอิสระ หรือเรียกว่าโลน วูล์ฟ(Lone wolf) ซึ่งมีในต่างประเทศด้วย เพียงแต่ผู้ก่อเหตุที่เป็นรายย่อยในประเทศเรามักมีรายใหญ่อยู่เบื้องหลัง

เจ้าหน้าที่ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ ต้องสืบสวนต่อไปเรื่อยๆ ถ้าถึงใครเกี่ยวข้องก็ต้องจับมาทั้งหมด

สำหรับคำว่าโลน วูล์ฟ (Lone wolf) เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ แปลตรงตัวว่า “หมาป่าโดดเดี่ยว” ที่ใช้เรียกคนที่ชอบทำอะไรคนเดียว หรือผู้ที่กระทำการคนเดียว

ซึ่งในปัจจุบันคำนี้ยังหมายถึงผู้ก่อการร้ายที่กระทำการคนเดียว ไม่ขึ้นกับองค์กรก่อการร้ายใด หรือที่เรียกว่าผู้ก่อการร้ายอิสระ

หรือที่เรียกว่าฉายเดี่ยวนั่นเอง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมส่งผลให้ เจ้าหน้าที่ที่ติดตามจับกุม ทำงานได้ยาก เพราะเป็นเรื่องที่คิดคนเดียว ทำคนเดียว

ยิ่งถ้าเป็นเหตุระเบิดยิ่งหาตัวได้ยาก เพราะหลักฐานต่างๆ มักถูกทำลายด้วยระเบิดไปหมดแล้ว

จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคดีของลุงวัฒนาที่ลงมือตั้งแต่ปี 2550 ถึงไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี นอกจากนี้ หากจุดที่ลงมือครั้งสุดท้ายไม่ใช่ในโรงพยาบาล ที่มีกล้องวงจรปิดเต็มไปหมด ก็ยังน่าสงสัยว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดถึงจะจับกุมคนร้ายได้

คำคำนี้มีต้นกำเนิดมาจากหมาป่า ที่ส่วนใหญ่จะอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่ก็มีหมาป่าบางตัวที่ถูกขับไล่ออกจากฝูงมาใช้ชีวิตโดดเดี่ยว

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะอันตรายมาก เพราะพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอด

วงจรปิดมัด-ส่งขังมทบ.11

สำหรับการติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุโดยใช้เวลาไม่ถึง 1 เดือน ต้องยกความดีความชอบให้กับชุดสืบที่ไล่ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด

โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่พยายามออกข่าวเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ โดยระบุว่าวงจรปิดในโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เสียหายไม่สามารถดูได้เพื่อให้ผู้ต้องหาตายใจ

ก่อนจะตรวจสอบจนพบว่ามีบุคคลเข้า-ออกภายในโรงพยาบาล 12,000 คน แล้วค่อยไล่ตรวจจนเหลือ 100 คน และ 10 คนตามลำดับ

ทั้งนี้ กล้องวงจรปิด 21 ตัวในโรงพยาบาล พบชายต้องสงสัยสูงวัยถือถุงพลาสติกภายในบรรจุวัตถุมีน้ำหนัก และร่มสีดำ 1 คัน เดินเข้ามาทางประตูหน้า ใช้เวลา 1 นาที 20 วินาที เข้าไปในอาคารเฉลิมพระเกียรติ และอยู่ในห้องวงษ์สุวรรณ 1 ชั่วโมง 33 นาที โดยออกจากห้องก่อนระเบิดเพียง 10 นาที ในมือมีถุงพลาสติกต้องสงสัย แต่ไม่มีวัตถุมีน้ำหนัก เหลือร่มสีดำ 1 คันเท่านั้น

เมื่อเช็กประวัติการรักษาพบว่าชายคนดังกล่าวไม่มีนัดหมายกับหมอ จึงไล่วงจรปิด จนพบว่าก่อนวันเกิดเหตุ เวลา 16.50 น. ชายคนดังกล่าวขับรถเก๋งเข้าไปที่ลานจอดรถ กฟผ.บางกรวย แล้วเอาจักรยานปั่นออกประตูหลังไปยังยันฮีคอนโด

ต่อมาเวลา 06.13 น. วันที่ 22 พ.ค. ผู้ต้องสงสัยขี่จักรยานจาก ยันฮีคอนโดเข้ามาที่ลานจอดรถ กฟผ.อีกครั้ง แล้วหยิบถุงพลาสติกสีขาวขนาดใหญ่จากประตูด้านหน้าฝั่งคนขับ ในถุงมีแจกันและช่อดอกไม้สีส้มแดง

จากนั้นขี่จักรยานออกทางประตูหน้า ย้อนศรมุ่งหน้าปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 97 แล้วข้ามสะพานลอยไปยังซอยจรัญฯ 96/2 ขึ้นรถเมล์ ปอ.18 ในเวลา 07.43 น. ก่อนจะพบภาพลงรถเมล์ระหว่างประตู 5 และ 6 ของโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ สวมหน้ากากอนามัย เดินถือถุงพลาสติกมาตามถนนราชวิถี จากแยกตึกชัย มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

เข้าโรงพยาบาลทางประตู 6 เข้าไปห้องวงษ์สุวรรณเวลา 08.47 น. เปิดสวิตช์ระเบิดหน่วงเวลาแล้วออกมาเวลา 10.20 น. ก่อนระเบิด 10 นาที ต่อมาเวลา 10.43 น. ขึ้นรถเมล์สาย 14 ไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ลงรถบริเวณเกาะพญาไท จากนั้นเดินบนสกายวอล์กไปฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี นั่งบริเวณตู้เอทีเอ็ม 18 นาที แล้วลุกเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยว

ต่อมาเวลา 11.31 น. เดินไปยังป้อม ขสมก. กระทั่งเวลา 12.24 น. เดินออกจากป้อมขึ้นรถเมล์สาย 18 ไปยังท่าอิฐ จ.นนทบุรี ลงรถที่ปากซอยจรัญฯ 97 ขี่จักรยานเข้าไปในกฟผ.แล้วขับรถยนต์ออกไป เมื่อตรวจสอบแล้วจึงพบว่าเจ้าของรถเป็นลูกชายนายวัฒนา

จึงตรวจสอบประวัติจนทราบว่าที่พักอยู่ที่ไหน ก่อนบุกเข้าตรวจสอบที่บ้านพักจนค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญ

ส่วนเรื่องของคดีความ ศาลอนุมัติหมายจับ 7 หมาย เป็นคดีบึ้ม ปี “50 ทั้งที่ห้างเมเจอร์ รัชโยธิน ปากซอยราชวิถี 24 และหน้าบก.ทบ. บึ้มปี “60 ที่หน้ากองสลากฯ โรงละครแห่งชาติ และโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ และมีระเบิดไว้ในครอบครองที่บ้านพักย่านรามอินทรา

ก่อนฝากขังต่อศาลอาญา แล้วคุมตัวขังไว้ที่เรือนจำ มทบ.11

ปิดตำนาน “โลนวูล์ฟ” เมืองไทย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน