พระเกจิวัดบ้านหนองจิก – วันเสาร์ที่ 25 ก.ค.2563 น้อมรำลึกครบรอบ 1 ปี มรณกาล “หลวงปู่แสน ปสันโน” อดีตพระเกจิชื่อดังแห่งอีสานใต้ที่เล่าขานกันว่าทรงคุณพุทธาคมเข้มขลัง แห่งวัดบ้านหนองจิก หมู่ 2 ต.ภูฝ้าย อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ
มีนามเดิมชื่อ แสน คุ้มครอง เกิดบ้านโพรง ต.ไพรบึง อ.ขุขันธ์ จ.ขุขันธ์ (ปัจจุบัน ต.ไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ) เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2450 เป็นบุตรของพ่อเอี้ยง และแม่ผัน คุ้มครอง มีพี่น้องรวม 6 คน
เมื่อครั้นยังเด็ก เป็นลูกศิษย์อยู่ที่วัดบ้านโพรงและพี่ชาย ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านโพรงในสมัยนั้น ให้การเลี้ยงดู เรียนจบ ชั้น ป.4
ต่อมาได้บรรพชาที่วัดบ้านโพรง และได้ไปศึกษาเรียนหนังสือกับหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอใต้ พระเกจิชื่อดัง ทั้งได้ศึกษาตำราพระเวททั้งภาษาขอมและภาษาธรรมด้วย
เดินทางไปมาระหว่างบ้านปราสาทเยอใต้และบ้านโพรง
กระทั่งอายุ 21 ปี เข้าพิธีอุปสมบท และยังคงเรียนวิชากับพระอาจารย์มุมอย่างต่อเนื่อง
ครั้นอายุ 24 ปี ได้ลาสิกขาเพื่อมาช่วยงานทางบ้านที่มีฐานะยากจน เป็น “หมอธรรม” (ภาษาพื้นบ้านอีสาน หมายถึง ผู้เรียนคาถาอาคมทางพุทธเวทและไสยเวท อาจเป็นฆราวาสหรือพระภิกษุ ที่ปฏิบัติตัวอยู่ในคุณธรรม มีศีลมีธรรม และช่วยเหลือผู้คนในชุมชนจนเป็นที่เคารพนับถือ)
ยามเว้นว่างจากการทำเกษตรกรรม ก็ชักชวนเพื่อนหมอธรรมด้วยกันเดินทางไปเขมร เพื่อศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติม ได้พบพระผู้ใหญ่และพระอาจารย์จากทางเขมรมากมาย โดยเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือและรักษาผู้คนเท่านั้น
เมื่อหมดภาระทางบ้าน กลับเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง โดยไปจำพรรษาที่บ้านกุดเสล่า อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แต่ยังคงปฏิบัติธุดงค์ มักออกธุดงค์ไปตามเทือกเขาพนมดงรักเป็นนิตย์
ต่อมาหลวงตาวัน สหธรรมิกรุ่นน้องได้ไปกราบนิมนต์ให้มาช่วยสร้างวัด โดยเจ้าคณะอำเภอกันทรลักษ์ อนุญาตให้หลวงปู่แสนไปอยู่ที่วัดอรุณสว่างวราราม (วัดบ้านกราม) แต่ด้วยท่านรักสมถะ ปีต่อมาจึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์โนนไทย (วัดกูไทยสามัคคีในปัจจุบัน) อยู่ถึง 3 ปี
กระทั่งเห็นสภาพวัดบ้านหนองจิก ที่จะกลายเป็นวัดร้าง เนื่องจากมีพระภิกษุจำพรรษาน้อยและไม่มีผู้ดูแลพัฒนา ท่านจึงย้ายจากสำนักสงฆ์โนนไทย ไปจำพรรษาที่วัดบ้านหนองจิกและทำนุบำรุงวัดจนวัดมีพระเข้ามารับช่วงต่อ จำพรรษาอยู่เป็นเวลา 4 ปี โยมญาติจากวัดบ้านโพรง ที่ท่านบวชเป็นสามเณร เดินทางมานิมนต์ให้ไปจำพรรษาเพื่อช่วยพัฒนา
ซึ่งก็ได้รับความเมตตาไปจำพรรษาที่วัดบ้านโพรง ทำนุบำรุงวัดจนเจริญขึ้น
อายุย่างเข้า 93 ปี ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดใน ช่วงนั้น จนเมื่อหลวงปู่แสน อายุ 97 ปี ลูกหลานเป็นห่วงสุขภาพ จึงพาชาวบ้านไปนิมนต์กลับมาจำพรรษา ที่วัดบ้านหนองจิก จนถึงทุกวันนี้
วัตถุมงคลของหลวงปู่แสน ไม่ได้จัดสร้างบ่อยนัก นานครั้งในวาระพิเศษ ส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ศิษย์ใกล้ชิดสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้มีจำนวนไม่มากรุ่น แต่ได้รับความนิยมสูง อาทิ เหรียญเสมาครึ่งองค์หลวงปู่แสน รุ่นเจ้าสัวแสนนิยม, พระสมเด็จหล่อโบราณ รุ่นเจริญลาภ, พระกริ่งมหาโภคทรัพย์ เป็นต้น
ด้วยหลวงปู่ล่วงวัยชรา มีอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระยะที่ 2 และป่วยด้วยโรคหัวใจ กระเพาะลำไส้ ปอดติดเชื้อ ญาติพี่น้องและคณะศิษย์ นำหลวงปู่ไปเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ ร.พ.กันทรลักษ์ และ ร.พ.ศรีสะเกษ มาอย่างต่อเนื่อง
ต่อมา พักรักษาอยู่ที่ตึกสงฆ์อาพาธ ร.พ.ศรีสะเกษ ซึ่งคณะแพทย์ให้การ รักษาพยาบาลอย่างสุดความสามารถ แต่เนื่องจากหลวงปู่อายุมากแล้วและร่างกายอ่อนเพลียอย่างหนัก จึงนำกลับมาพำนักที่วัดบ้านหนองจิก
ละสังขารอย่างสงบ เมื่อเวลา 22.24 น. คืนวันที่ 25 ก.ค.2562 ที่กุฏิภายในวัดบ้านหนองจิก อายุ 112 ปี