ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
คงเป็นอีกกรณีที่อธิบายต่อคนไทยและคนทั่วโลกที่เฝ้าจับตามองไม่ได้ ถ้าคดีสลายม็อบ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งใช้ตำรวจปราบจลาจลและแก๊สน้ำตา มีผู้เสียชีวิต 2 ราย แต่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ล่าสุดยังมีการอุทธรณ์ยังไม่จบได้ง่ายๆ
กับอีกเหตุการณ์ สลายม็อบปี 2553 ใช้หน่วยรบและกระสุนจริง มีประชาชนโดนยิงจำนวนมาก ตายรวมถึง 99 ศพ
แต่คดีกลับเดินหน้าไปไม่ได้!?!
แม้จะอ้างว่า เพราะมีผู้ก่อการร้ายชายชุดดำ เลยต้องให้ใช้กระสุนจริงเพื่อป้องกันตัว แต่ไม่มีแม้แต่ศพเดียวที่เป็นผู้ก่อการร้าย ไม่มีแม้แต่รายเดียวที่มีอาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตามข้ออ้างของศอฉ.
ไม่เพียงเท่านั้น ในจำนวน 99 ศพนี้ มีบางส่วนได้ทยอยส่งศาลเป็นสำนวนคดีชันสูตรพลิกศพ
และศาลได้ชี้ผลไต่สวนไปแล้วว่า มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตด้วยกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ศอฉ.หรือยิงจากฝั่ง เจ้าหน้าที่ศอฉ. จำนวน 17 ศพ
ความจริงอาจจะทยอยชี้ไปมากกว่านี้อีก ถ้าบ้านเมืองไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ
แต่เอาเป็นว่าก็มีถึง 17 ศพแล้ว ที่ศาลชี้เอาไว้
ขนาดนี้แล้ว ถ้าคดียังดำเนินไปไม่ได้อีก ก็น่าสงสัยว่าจะทำความเข้าใจกับคนฝ่ายสูญเสียได้อย่างไร และจะมีผลต่อแนวการสร้างความสามัคคีปรองดองเช่นไร
ชนะด้วยเทคนิคทางกฎหมาย กดข่มอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่ใช่แนวทางสร้างความสงบในบ้านเมืองที่ถูกต้องและยั่งยืนอย่างแน่นอน!
ดังนั้น เราจึงยังเห็น “แม่เกด” “พ่อเฌอ” และอีกหลายๆ คนที่สูญเสียลูกหลานเพื่อนมิตรไปในเหตุการณ์วันนั้น
จึงยังคงเรียกหาความเป็นธรรมตามกฎหมายอย่าง ไม่สิ้นสุด!!
ยังดีที่มีแนวทางใหม่ โดยฝ่ายกฎหมายของผู้สูญเสีย เตรียมหาทางฟ้องร้องคดีโดยมุ่งไปที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ พวกที่ยืนยิง ซุ่มยิงทั้งหลาย
คงจำเป็นต้องทำ
อีกทั้งนึกถึงการต่อสู้คดีในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่ฝ่ายถูกฆ่าถูกล่าชีวิตแท้ๆ ยังตกเป็นจำเลยอีก แต่ก็ต่อสู้คดีในศาลทหารอย่างไม่ย่อท้อ
ทนายฝ่ายผู้นำนักศึกษา ได้ซักค้านพยานของฝ่ายโจทก์อย่างเข้มข้น จนทำให้เริ่มเห็นโฉมหน้าผู้สั่งการเหนือขึ้นไปตามลำดับชั้น
ญา
ไปๆ มาๆ เลยต้องรีบชิงปิดคดีตัดช่องฟ้องร้องทั้งหมด
น่าสนใจมาก หากคดี 99 ศพ จะฟ้องจากระดับล่างไล่ขึ้นไปถึงระดับบน คล้ายแนวทางนี้บ้าง!
จะให้คดีนี้จบง่ายๆ
สบายๆ อยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายทุกข์ระทมแสนสาหัส คงเป็นไปไม่ได้
บ้านเมืองที่สงบสามัคคีไม่มีข้อบาดหมางคือความปรารถนาของทุกฝ่าย
แต่ต้องมีความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายด้วยเช่นกัน!