แฟ้มคดี

นับเป็นคดีปล้นที่ลือลั่นไม่น้อย

สำหรับกรณีแก๊งไอ้โม่งดักปล้นเงินตราต่างประเทศสกุลเงินเยนของญี่ปุ่น

กวาดเอาไป 196 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงิน 60 ล้านบาท

เพราะถือเป็นการลงมือที่อุกอาจ ดักปล้นกันที่ลานจอดรถกลางคอนโดหรู ในคืนที่เพิ่งขนเงินกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น

รู้จังหวะเวลาที่เหมาะเจาะ!??

จึงไม่แปลกที่เจ้าหน้าที่จะพุ่งไปที่คนใน หรือเชื่อว่าเข้าข่ายเกลือเป็นหนอน

เมื่อสืบสวนสอบสวนลึกลงไป ข้อสันนิษฐานก็เป็นจริง แถม 1 ในนั้นเป็นคนที่ทำหน้าที่ขนเงินกลับมาจากญี่ปุ่น แต่แยกตัวไปก่อนที่สนามบินสุวรรณภูมิ

ขยายผลล่าตัวทั้งแก๊งมาดำเนินคดี

และกรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนในนำปล้น

ก่อนหน้านี้ในปี 2554 ก็เคยเกิดเหตุคนร้ายดักปล้นเงินต่างประเทศ ของนักธุรกิจชาวอินเดียได้เงินไปกว่า 50 ล้านบาท

สุดท้ายก็ถูกตามจับได้ยกแก๊ง ซึ่งก็เป็นอดีตลูกน้องของนักธุรกิจนั่นเอง

แต่แล้วบทสรุปก็เหมือนครั้งนี้ คือหนีไม่รอดเงื้อมมือตำรวจ

ผงะแก๊งไอ้โม่งฉก196ล้านเยน

สำหรับเหตุการณ์ปล้นกลางกรุงครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกวันที่ 2 ต.ค. โดย นายภัทริศ หรือ โตโต้ แต่รัตนชัย อายุ 34 ปี นักธุรกิจขายทองและเครื่องเพชร ส่งขายประเทศญี่ปุ่น รุดแจ้งความกับ ร.ต.อ.นวพล วิทยะเกริกไกร พนักงานสอบสวนสน. พหลโยธิน

ระบุว่ามีไอ้โม่งไม่ต่ำกว่า 6 คน ดักปล้นเงินเยน 196 ล้านเยน หรือ 60 ล้านบาท จากลูกน้องที่มีหน้าที่ขนเงินไปจากลานจอดรถชั้น 5 คอนโดมิเนียม รัชดาพาวิเลี่ยน และยังทำร้ายร่างกายลูกน้องจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมทั้งจับมัดเพื่อไม่ให้เหยื่อร้องขอความช่วยเหลือ

โดยจุดเริ่มต้นมาจากการสั่งให้ นายณรงค์ชัย หรือจั๊ว สวัสดิพล นำเงิน 196 ล้านเยน ใส่กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าสะพายหลังเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นมายังสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย โดยผ่านการสำแดงต่อศุลกากรตามกฎหมาย

เมื่อถึงที่ชั้นผู้โดยสารขาเข้า นายจั๊ว หรือนายณรงค์ชัย ได้พบกับ นายจิรภัสส์ หรือเนย พิทักษ์กิจวัฒนา และ นายเกียรติพงษ์ หรืออุ้ย พึ่งยิ้ม ลูกน้องนายภัทริศ ที่มารอรับเงินไปเก็บที่คอนโดรัชดา พาวิเลี่ยน ห้อง 104 ชั้น 15 ซึ่งเป็นห้องของนายภัทริศ ตามที่เคยดำเนินการมาแล้วหลายครั้ง

โดยนำเงินทั้งหมดใส่ไปในรถบีเอ็ม ดับเบิลยู เอ็กซ์ 6 สีขาว ทะเบียน 4 กบ 7806 กทม. โดยมีนายเนยเป็นคนขับ ขณะที่ นายอุ้ย ขับปิกอัพฟอร์ด เรนเจอร์ สีส้ม ป้ายแดง ตามมา ขณะที่นายจั๊ว แยกตัวกลับไป เพราะมีแฟนสาวมารอรับ

เมื่อทั้งคู่มาถึงที่คอนโดฯ เป้าหมายในเวลา 23.15 น. และนำรถไปจอดที่ชั้น 5 ขณะกำลังนำกระเป๋าใส่เงินลงจากรถ แล้วเดินเข้าอาคาร มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 5-6 คน สวมหมวกไหมพรมสีดำ ชักปืนขู่แล้วใช้ด้ามปืนตบไปที่ศีรษะนายอุ้ย

จากนั้นนำเชือกมัดนายเนย แล้วเอาถุงกระสอบคลุมศีรษะทั้งสอง แล้วเอาไปมัดหลังเสา ก่อนหลบหนีไปโดยเอารถปิกอัพ ฟอร์ดเรนเจอร์ สีส้มไปด้วย ด้านเหยื่อ ทั้งสองเมื่อดิ้นรนจนหลุดออกมาได้ก็ไปแจ้งเจ้านาย และเข้าแจ้งความทันที

หลังรับเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวส ผบช.น.หมาดๆ ก็ลงมาคุมคดีด้วยตัวเอง อีกทั้ง พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ก็ให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์เกิดขึ้นกลางกรุง

ทั้งนี้จากการสอบสวนพบว่านายภัทริศ ทำธุรกิจดังกล่าวหลายปี นำเงินหลายสกุลเข้ามาในประเทศหลักพันล้าน แต่ละครั้งหลายสิบล้านบาท และดีแคลร์เงินถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ทีมขนเงินกว่า 10 คน

จึงสั่งสอบสวนทั้งพนักงานปัจจุบัน และอดีต ที่อาจจะเชื่อมโยงกับคนในคอนโดฯ ดังกล่าว เพราะต้องใช้คีย์การ์ดเข้าลาน จอดรถ

มุ่งไปที่คนในรู้เห็น

นอกจากนี้ยังให้นำคดีเก่าเมื่อปี 2554-2555 ที่คนร้ายปล้นเงินนักธุรกิจอินเดียไป 50 ล้านบาทมาเทียบเคียงด้วย

1.ค้นฟอร์ดเรนเจอร์ / 2.บิ๊กแป๊ะแถลงจับ / 3.จุดลงมือ / 4.นายณรงค์ชัย หรือจั๊ว

ล่าระทึก-รวบ”คนใน”ลงมือเอง

หลังจากลงพื้นที่สืบสวน และเช็กกล้อง วงจรปิดไล่หาทางหนีทีไล่ของคนร้าย ในที่สุดก็ได้ผล โดยเมื่อกลางดึกวันที่ 4 ต.ค. เจ้าหน้า ที่พบรถปิกอัพฟอร์ด เรนเจอร์ สีส้ม ที่คนร้ายชิงไปด้วยจอดอยู่ที่ถนนเลียบรฟม. ฝั่งขาเข้า ก่อนถึงแยกผังเมือง แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. ในลักษณะใช้ผ้าคลุมรถ ทั้งคัน

หลังรับรายงานพล.ต.อ.จักรทิพย์ เดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง ก่อนสั่งการให้พฐ. มาตรวจสอบเก็บหลักฐานภายในรถ ทั้งดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือแฝง

ก่อนขยายผลจับกุมคนร้ายได้สำเร็จ

วันที่ 5 ต.ค. พล.ต.อ.จักรทิพย์ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผบก.สส.บช.น. และ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบก.สส.บช.น. ก็แถลงจับกุมคนร้าย

ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนายณรงค์ชัย หรือจั๊ว ที่เป็นลูกน้องคนขนเงินเยนกลับมาจากญี่ปุ่นนั่นเอง โดยร่วมกับพวกอีก 6 คน ประกอบด้วยนายชวลิต เจริญผล หรือริด อายุ 31 ปี นายสุรศักดิ์ ศรีฑะวงศ์ หรือกิ๊ก อายุ 35 ปี นายพงษ์ศักดิ์ ปิตศิริพันธ์ หรือคริส อายุ 31 ปี นายกฤษดา อัตถาเวช หรือแวน อายุ 30 ปี นายนัฐพงศ์ ธัญญะตุ่น หรือต้น อายุ 33 ปี คู่เขยนายณรงค์ชัย และนายศรายุทธ ฤทธิชัยนุวัฒน์ หรือไก่ อายุ 31 ปี

โดยสามารถจับกุมนายณรงค์ชัยได้ที่บ้านพักย่านประชาชื่น และยึดคืนของกลางเป็นเงินธนบัตรสกุลเยน 196 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทย 60 ล้านบาท

ทั้งนี้จากการสอบสวนทั้งหมดเป็น ลูกน้องหรือเคยเป็นลูกน้องของนายภัทริศทั้งหมด

จุดเริ่มต้นจากนายณรงค์ชัย ได้หารือกับนายนัฐพงศ์ ที่เป็นพี่เขย ซึ่งอ้างว่ามีหนี้สินต้องจ่ายจำนวนมาก ประกอบกับทำหน้าที่ขนเงินจากต่างประเทศ เห็นเงินมาตลอดทำมาแล้ว 4 ครั้ง ได้เงินครั้งละ 3 หมื่นบาท

จึงเริ่มวางแผนลงมือปล้น โดยให้นายศรายุทธไปเช่าคอนโดฯ เลขที่ 172 ชั้น 23 ของคอนโดฯ ดังกล่าว เพื่อให้เข้า-ออกได้สะดวก และใช้ห้องนั้นประชุมหารือกว่า 10 ครั้ง จนตัดสินใจลงมือ

โดยนายณรงค์ชัย ที่เป็นคนวางแผน รับเงินจากญี่ปุ่น เมื่อมาถึงไทยก็ส่งสัญญาณให้ทีมปล้น นำโดยนายชวลิต ที่ลงมือในลานจอดรถชั้น 5 คอนโดพาวิเลี่ยน หลัง จากก่อเหตุ นายสุรศักดิ์จะขับรถพาทีมปล้นไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินอาร์ซีเอ เพื่อแยกกันหนี ขณะที่นายพงษ์ศักดิ์ขับรถฟอร์ด สีส้มไปจอดที่แยกผังเมือง และนายกฤษดาทำหน้าที่ขับรถนิสสัน อัลเมร่า สีดำ ฆศ 1169 กทม. รับส่งผู้ก่อเหตุ

ก่อนจะคุมตัวทั้งหมดไปทำแผนประกอบ คำรับสารภาพ

ปิดคดีปล้นอย่างรวดเร็ว

ย้อนคดีปล้นกลางกรุง50ล้าน

สำหรับคดีที่เจ้าหน้าที่นำมาพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางการสืบสวนสอบสวนจับกุม ผู้กระทำความผิด ก็คือกรณีแก๊งปล้นเงิน ชาวต่างประเทศ ที่ลงมือเมื่อรุ่งสางของวันที่ 30 ธ.ค. 2554

โดยช่วงเวลาประมาณ 05.00 น. กลุ่มคนร้ายขับรถยนต์ปาดหน้าเข้าปล้นเงินจาก นายอับดุลลา ราฮูมาน นักธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศชาวอินเดีย เหตุเกิดที่ถนนสี่พระยา ท้องที่สน.บางรัก คนร้ายเอาเงินสกุลต่างประเทศไปได้ 50 ล้านบาทเศษ

แต่จากการสอบสวนด้วยการอำนวยการของพล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. และพล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) เพียงไม่นานก็คลี่คลาย

โดยเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2555 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนบุกจับกุมนายกิตติชัย หรือหนุ่ย สองเมือง 1 ในแก๊งคนร้าย ก่อนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาได้อีก 5 คน ประกอบด้วย นายจิตรภาณุ หรือทิ วัฒนศศิโรจน์ อายุ 43 ปี 2.นายวิชัย หรือโล่ โล่ห์บัณฑิตสกุล อายุ 45 ปี 3.นายอุดม หรือคิว ยิ้มพรธนา อายุ 43 ปี 4.นายวัลลภ หรือลพ คชวงษ์ อายุ 38 ปี และ 5.นายชวนชม หรืออ้วน ศรีจันทร์ ที่หนีไปบวชซึ่งตำรวจจับกุมได้ที่จ.สระแก้ว

แผนผังผู้ต้องหา

และเร่งตามล่า ส.ท.วีรยุทธ งามเขียว และ ส.ท.อุดรพงษ์ กางนอก ที่อยู่ระหว่างหลบหนี

พร้อมติดตามเงินของกลางที่คนร้ายนำไปฝากที่ธนาคารต่างๆ รอจังหวะนำเงินต่างประเทศทั้งหมดไปแลกเป็นเงินไทย รวมเป็นเงิน 50,575,711.73 บาท และอาวุธปืน 2 กระบอก ปืนปลอมอีก 2 กระบอก

โดยนายจิตราภาณุ หรือทิ ให้การว่า เคยเป็นพนักงานแลกเปลี่ยนเงินตราในบริษัทแห่งหนึ่งมาก่อน และเคยถูกคนร้ายปล้นเงินไปเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ตำรวจไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ จึงคิดว่าหากก่อเหตุก็น่าจะรอดเช่นกัน

จึงวางแผนร่วมมือกับนายกิตติชัย หรือหนุ่ย ที่ต้องใช้เงินเพื่อล้างหนี้การพนัน โดยวางแผนปล้นเงินจาก นายอับดุลลา ราฮูมาน เป็นเวลา 1 เดือน และรวมสมัครพรรคพวกเพื่อลงมือก่อเหตุ

ด้านนายกิตติชัย หรือหนุ่ย ก็สารภาพ ว่า วางแผนมาร่วม 1 เดือนติดตามนาย อับดุลลา ราฮูมาน เพื่อสังเกตพฤติกรรมก่อนลงมือ ทั้งนี้ตนติดหนี้พนันและหนี้อื่นๆ และต้องเร่งจ่ายหนี้ จึงวางแผนและร่วมปล้นด้วย แต่ไม่คิดว่าเงินที่ได้จะมีเยอะขนาดนี้

เป็นอีก 1 คดีที่คนร้ายเป็นคนใน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน