คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
ดุเดือดเลือดพล่านจริงๆ สำหรับยุทธการจัดกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 4 พันนาย บุกตรวจค้นทุกตารางนิ้วในวัดพระธรรมกาย
เพื่อหาตัวพระธัมมชโย
โดยประกาศใช้มาตรา 44 ให้พื้นที่วัดพระธรรมกาย เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ
เจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ควบคุมการเข้าออกพื้นที่ ใช้อากาศยานไร้คนขับ เข้าตรวจสอบ
ถึงขั้นสามารถควบคุมสาธารณูปโภค ระบบสื่อสาร ซึ่งก็คือสามารถตัดน้ำตัดไฟ ได้ทั้งหมด
ชวนให้ต้องย้อนกลับไปดูว่าที่แท้พระธัมมชโยถูกข้อหาใดกันแน่
จะเป็นข้อหากบฏ ก่อการร้าย ตั้งแก๊งอั้งยี่ เป็นอันธพาลปิดถนน สถาปนากรวยศักดิ์สิทธิ์ ที่ใครบังอาจแตะต้อง ต้องถูกลูกสมุนรุมกระทืบจนปางตาย
แถมลอยตัว ไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ แถมยังมีคนพิลึกไปกราบไหว้บูชา
ก็ไม่ใช่!??
แต่เป็นคดีที่เริ่มต้นด้วยถูกแจ้งข้อหารับของโจรและฟอกเงิน จากการรับเช็คบริจาค ที่เป็นเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สอบสวนและประเคนข้อหาให้ทั้งวัดและพระธัมมชโย เบ็ดเสร็จ 308 ข้อหา
แน่นอนไม่ว่าเป็นข้อหาเล็กหรือใหญ่ แต่เมื่อเป็นคดี บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้ถือความยุติธรรมเป็นที่ตั้งก็ต้องติดตามนำตัวมาดำเนินคดีให้ได้
แต่หลังจากปฏิบัติการ 3 วัน ค้นวัดหมดทุกโซนที่กำหนดไว้ ก็ไม่เจอตัวพระธัมมชโย
แทนที่จะยุติปฏิบัติการ กลับมีคำสั่งให้คนออกจากวัด ให้พระ 14 รูปไปรายงานตัวกับอธิบดีดีเอสไอ
แถมเพิ่มกำลังอีก 13 กองร้อยตั้งประจันจนเกิดปะทะจนทั้งโยมทั้งพระสะบักสะบอม กันไปตามๆ กัน
อีกทั้งขู่ตัดน้ำตัดไฟ เพื่อให้ทุกคนจำยอม
ก็เริ่มทำให้สังคมตั้งคำถามว่าเป็นการกระทำที่มากเกินไปหรือไม่
หากเปรียบเทียบกับบ้านของคนธรรมดา ถ้าเจ้าหน้าที่บุกค้น ไม่เจอผู้ต้องหา แต่สั่งให้คนในบ้านออกไปให้หมด
ไม่งั้นจะตัดน้ำตัดไฟ เรียกไปรายงานตัว
ก็รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอ่านนิทานลูกแกะเจอหมาป่า
นี่ยิ่งมีสภาพเป็นวัด ที่มีพระจำวัด และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระธัมมชโยอีกจำนวนมาก
ถูกกระทำกันขนาดนี้
ก็ไม่รู้ว่าชาวพุทธจะรู้สึกกันอย่างไร