คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
เป็นเรื่องสลดอย่างยิ่ง สำหรับกรณีที่นายอนวัช ธนเจริญณัฐ ลุงวัย 64 ปี ที่ตัดสินใจผูกคอกับเสาส่งสัญญาณใกล้วัดพระธรรมกาย
เพื่อคัดค้านการใช้ม.44 กับวัดพระธรรมกาย
ถือเป็นศพแรกที่สังเวยการใช้ม.44 ครั้งนี้
จึงเป็นเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.ที่กุมอำนาจรัฐไว้ทั้งหมด และเป็นผู้ประกาศใช้ ม.44 ในครั้งนี้จะต้องทบทวนพิจารณา
การออกมาแสดงความเสียใจเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ปัญหาคือจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดความสูญเสียมากขึ้น
รวมทั้งตอบคำถามให้ได้ว่า การใช้ม.44 ระดมกำลังทหารตำรวจเกือบ 5 พันนายมาล้อมวัดพระธรรมกาย ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.
จนถึงวันนี้ก็ร่วมครึ่งเดือน!??
ใช้งบประมาณเบี้ยเลี้ยงและทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก จ่อจะตัดน้ำตัดไฟ อ้างว่าเพื่อจะจับธัมมชโยมาดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน
แต่ระหว่างนั้นก็ส่งผลกระทบกับพระเณร และประชาชนที่อยู่รอบวัดจำนวนมาก
เมื่อเปรียบเทียบแล้ว อะไรคุ้มได้คุ้มเสียกว่ากัน
ทั้งหมดคือหน้าที่ของสื่อมวลชน ที่จำเป็นต้องรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่ลุงอนวัช แสดงท่าทีคัดค้านม.44
ที่ทีมข่าวก็ต้องเกาะติดสถานการณ์ รายงานข้อเท็จจริง โดยไม่มีการตัดต่อใดๆ และไม่มีใครรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุสลด เช่นนี้
แต่เมื่อเกิดเหตุ แทนที่สื่อบางจำพวก และบรรดาผู้ที่อ้างตัวเป็นนักวิชาการสื่อ จะค้นหาข้อเท็จจริงที่เป็นต้นตอของปัญหา
กลับมานั่งโจมตีสื่อที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่
แถมยกคุณธรรม จริยธรรมต่างๆ ปากคาบคัมภีร์ สร้างตัวเป็นผู้มีคุณวุฒิเหนือ คนอื่น
ทั้งที่จริงๆ แล้วภายในก็ย่ำแย่เน่าเฟะ น่าขยะแขยง
จึงต้องมองให้รู้เท่าทัน ก่อนปลงสังเวชไม่ไปยุ่งเกี่ยว
พร้อมเดินหน้าทำหน้าที่ของตัวเองในนามของสื่อมวลชน
ที่ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งต่อไป