โยกย้าย‘บิ๊กโจ๊ก’ยังไม่จบ : ทิ้งหมัดเข้ามุม

ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

สำหรับกรณีของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล นายตำรวจดาวรุ่ง ที่ถูกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจหัวหน้าคสช. และม.44 สั่งให้พ้นจากการเป็นตำรวจ ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ สำนักนายกรัฐมนตรี

เพราะไม่มีการชี้แจงใดๆ ว่าสาเหตุในการโยกย้ายครั้งนี้เกิดจากอะไรกันแน่

เริ่มตั้งแต่คำสั่งผบ.ตร. ให้พ้นจากตำแหน่ง ผบช.สตม. ให้ไปปฏิบัติราชการที่ศปก.ตร. โดยขาดจากตำแหน่งเดิม

เมื่อพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไปปฏิบัติหน้าที่ ก็มีข่าวว่าครม.อนุมัติให้โยกไปเป็นข้าราชการทำเนียบ

แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยคำสั่งม.44

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอธิบายให้สังคม ได้รับทราบถึงสาเหตุที่มาที่ไปของคำสั่งครั้งนี้

เพราะแน่นอนว่าตำแหน่งระดับผู้บัญชาการ ถือเป็นนายตำรวจระดับสูง การเลื่อนลดปลดย้าย ย่อมต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม

ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้เกิดความเคลือบแคลง ย่อมไม่ส่งให้เกิดผลดีต่อการบริหารงานบุคคลของรัฐบาล

และไม่เป็นเรื่องดีสำหรับขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอย่างแน่นอน

หากมีการทำงานที่ผิดพลาด บกพร่อง ก็ต้องอธิบาย หากส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ก็ต้องตั้งกรรมการสอบสวน หากผิดจริงก็ต้องมีกระบวนการทางกฎหมาย

แต่หากไม่มีความผิด ก็ต้องคืนความเป็นธรรมให้อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ยังมีข้อน่าสังเกตอีกบางประการ เมื่อย้ายพล.ต.ท. ระดับผู้บัญชาการ ซึ่งเทียบแล้วเท่ากับข้าราชการระดับ 9 แต่การที่ย้ายมาทำเนียบ ถึงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ สำนักนายกฯ ประเภทบริหารระดับสูง หรือเทียบเป็นข้าราชการพลเรือนระดับ 10

เท่ากับว่า ยังได้เลื่อนขั้นขึ้นอีก กลายเป็น ซี 10 คนใหม่ที่อายุเพียง 49 ปี

ไม่เพียงเท่านั้นคำสั่งหัวหน้าคสช.ยังอ้างถึง คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 16/2558 ในการย้าย ซึ่งคำสั่งดังกล่าวว่าด้วยการย้ายข้าราชการที่ถูกตรวจสอบ

แต่ในกรณีของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีการตั้งเรื่องสอบอะไรหรือไม่

ทั้งหมดล้วนเป็นประเด็นที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งโยกย้าย

จึงนับเป็นการโยกย้ายที่เต็มไปด้วย ข้อสงสัยและไม่มีการชี้แจงให้ความกระจ่างใดๆ เลยแม้แต่ขั้นตอนเดียว

ประชาชนกำลังรอฟังคำแถลงชี้แจงจากรัฐบาลอยู่

โดย รุก กลางกระดาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน