ทิ้งหมัดเข้ามุม

รุก กลางกระดาน

น่าสนใจอย่างยิ่ง สำหรับกรณีที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุก นายแทน เทือกสุบรรณ ในคดีครอบครองที่ดินเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ฐานร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือเผาป่า หรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

โดยคดีดังกล่าวอัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2556 บรรยายพฤติการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 27 ก.ย. 43 – 5 ต.ค. 2544 จำเลยร่วมกันบุกรุกครอบครองแผ้วถางป่าเขาแพง เนื้อที่กว่า 45 ไร่ สร้างอ่างเก็บน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต

ซึ่งศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดผิดตามฟ้อง จึงตัดสินจำคุก

และด้วยป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ ควรที่ประชาชนจะร่วมกันหวงแหน บำรุงรักษาให้อุดมสมบูรณ์เป็นประโยชน์ร่วมกัน

การกระทำของจำเลยทั้งสี่ มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของดิน น้ำ อากาศ และป่าไม้ทั้งโดยตรงและทางอ้อม

สภาพความผิดจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

พร้อมให้จำเลยทั้งสี่ และบริวาร ออกจากที่ดินและป่าไม้ที่เกิดเหตุทั้งหมด

แต่เหตุที่ทำให้คดีนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ก็เพราะนายแทน ซึ่งเป็น 1 ในจำเลยของคดี ก็คือลูกชายแท้ๆ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผันตัวเองจากนักการเมืองในสภา มาเล่นการเมืองบนท้องถนน

นำมวลชนเข้ายึดสถานที่ราชการ ขัดขวางการเลือกตั้ง โดยมีเจตนาขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

โดยอ้างว่าต้องนำพาประเทศสู่การปฏิรูป ปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะตระกูลชินวัตร ที่ “โกงทั้งโคตร”

ซึ่ง นายแทน เองก็คล้องนกหวีดออกมาร่วมชุมนุม ไล่คนโกง

สุดท้ายก็ต้องกลับมาตกในฐานะจำเลยในคดีอันไม่ต่างกัน คือยึดที่ป่า ครอบครองที่แผ่นดิน

แน่นอนว่าการต่อสู้ทางคดีก็ยังมีช่องทางเหลืออยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา

ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ

แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ได้ชัดว่า การห้อยนกหวีดออกมาไล่คนโกง

ไม่ได้ฟอกตัวเองให้กลายเป็นคนดี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน