ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
และแล้วก็มาถึงวันนี้ วันที่ 1 ตุลาคม
สำหรับคนธรรมดาก็เป็นเพียงแค่วันต้นเดือนปกติ
แต่สำหรับข้าราชการที่อายุครบ 60 ปี ก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนขนานใหญ่
ก็คือการเกษียณอายุราชการ ไม่ต้องไปทำงานตามที่เคยทำมา 30 กว่าปี แล้วหันมาใช้ชีวิตเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน
หรือกิจกรรมตามอยากต่างๆ พร้อมหวังว่าบั้นปลายจะเจอกับความสงบ
ทั้งนี้ หากเป็นข้าราชการธรรมดา ไม่ใช่ชั้นผู้ใหญ่อะไรนัก ก็พอจะปรับตัวได้ง่ายหน่อย เพราะชีวิตปกติไม่มีคนล้อมหน้าล้อมหลังให้ชุลมุนชุลเกอยู่แล้ว
แต่หากเป็นระดับผู้บังคับบัญชา อธิบดี ปลัดกระทรวง แม่ทัพ ผู้บัญชาการต่างๆ ก็คงปรับตัวได้ยากหน่อย
เพราะยามเช้าก็ไม่มีข้าราชการน้อยใหญ่มานั่งจิบกาแฟรอ ปรี๊ฟงานให้เหมือนทุกวัน
เวลาเดินขึ้นรถ ไปไหนมาไหน ก็ไม่มีใครมาส่ง ไม่มีรถนำ ไม่มีรถตาม
จะมีก็เพียงความทรงจำว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเคยลั่นวาจาภักดี คอยดูแลรับใช้ตลอดไป
รวมทั้งบรรยากาศงานเลี้ยงเกษียณ ที่หน่วยงานเจียดเงินภาษีประชาชนมาจ่ายให้
ภาพน้ำตานองหน้า กุหลาบสีแดง เป็นกำลังใจ และไว้อาลัย ก็ว่ากันไป
ในขณะที่ความเป็นจริง ลูกน้องที่รักก็ต้องไปรับใช้เจ้านายคนใหม่ จะเจียดเวลามาหาคนเก่าก็คงไม่ไหว
ก็ขอให้เตรียมใจยอมรับ แล้วกลับมาเป็นประชาชนเต็มขั้น
อีกเรื่องก็คือ ใครที่ปฏิบัติตนตามครรลองคลองธรรม ไม่ใช้อำนาจกลั่นแกล้งใคร หรือหาประโยชน์ส่วนตัว
ก็หลับตานอนได้อย่างสบายใจ
แต่หากใครกระทำการตรงกันข้าม ใช้อำนาจที่มีเพื่อประโยชน์พวกพ้องเครือญาติให้ได้รับประโยชน์
ทั้งชีวิตรับราชการอย่างเดียว แต่กลับมีทรัพย์สินเป็นร้อยเป็นพันล้าน
ก็อาจจะนอนหนาวๆ ร้อนๆ ไม่รู้ว่าเมื่อหมดอำนาจวาสนาแล้วจะถูกเช็กบิลรื้อคดีเมื่อไหร่
แม้ด้วยสภาพบ้านเมืองในยุคพิเศษก็มีความพิเศษบางประการ พร้อมแวดล้อมด้วยพวกเนติบริกร คอยแปลกฎหมายรับใช้ผู้มีอำนาจ โดยปราศจากความเกรงอกเกรงใจประชาชน
รวมทั้งองค์กรตรวจสอบต่างๆ ที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
แต่ในข้อเท็จจริงก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
ก็แค่รอเวลาคืนความยุติธรรมให้กับสังคมเท่านั้นเอง