ภาวะผู้นำสู้วิกฤต
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย…รุกกลางกระดาน
ภาวะผู้นำสู้วิกฤต – เข้าสู่ภาวะวิกฤตไปแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้
สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ในประเทศไทย
ที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จนส่วนหนึ่งไม่สามารถสืบเสาะได้แล้ว
เมื่อต้องมีคำสั่งล็อกดาวน์ ปิดห้างสรรพสินค้า ภายในกทม. และปริมณฑลรวม 6 จังหวัด รวมทั้งกิจการอื่นๆ ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้
ส่งผลให้เกิดคลื่นมหาชนออกจากกรุงกลับภูมิลำเนาที่ต่างจังหวัดกันอย่างมโหฬาร ทำให้หวาดวิตกว่าการเคลื่อนที่ของคนจำนวนมากเช่นนี้ จะทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคจะลุกลามบานปลายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเมื่อมีประกาศหยุดงานยาวกว่า 20 วันเช่นนี้ แรงงานที่มาจากต่างจังหวัด ได้ค่าแรงรายวัน เมื่อได้รับผลกระทบ
ใครจะทนอยู่ในเมืองที่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ก็ต้องกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว หวังว่าจะประทังชีวิตให้อยู่รอดได้
เรื่องนี้ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ได้หยุดแล้วก็เดินทางไปท่องเที่ยว เพียงแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจ เป็นตัวตั้ง
หากไม่ต้องการให้เกิดกรณีดังกล่าว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องวางมาตรการให้รัดกุม
ไม่ว่าจะเป็นการสั่งห้ามเดินทางออกนอกพื้นที่ การชดเชยรายได้ที่ขาดหาย
ไม่เช่นนั้นก็ต้องประสานกับจังหวัดปลายทางให้เตรียมรับมือ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่ได้มีมาตรการเหล่านี้ออกมาก่อนที่จะสั่งปิดกิจการต่างๆ
ความสับสนอลหม่านจึงเกิดขึ้น
กรณีนี้จึงเป็นเหตุให้รัฐบาล ต้องตระหนักได้แล้วว่าถึงเวลาที่จะออกมาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
เลิกหลบซ่อนอยู่หลังท้องถิ่น ให้ผู้ว่าฯแต่ละจังหวัดเป็นคนออกหน้า แล้วลอยตัวอยู่เหนือปัญหา
ต้องเข้าใจได้แล้วว่าเรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าท้องถิ่นแต่ละที่จะรับมือได้
ลำพังแค่ออกมาขู่ผู้ว่าฯ ถ้าแก้ไม่ได้จะสั่งย้าย หรือออกมาร้องไห้เสียงสั่น ขอความเชื่อมั่น
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริงๆ รังแต่จะทำให้เรื่องมันลุกลามบานปลายขึ้นเรื่อยๆ
ถ้ายังมีภาวะผู้นำหลงเหลืออยู่บ้าง
ก็ถึงเวลาที่ต้องงัดออกมาใช้แล้วจริงๆ