คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม : ปรับทีมเศรษฐกิจ เปลี่ยนม้ากลางศึก – โดย…มันฯ มือเสือ

ไม่มีอะไรพลิกโผ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่พลังประชารัฐ หรือพปชร. เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแบบไร้คู่แข่ง

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์การขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคของพล.อ.ประวิตร คือการกระชับอำนาจกลุ่ม 3 ป.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม คุมฝ่ายบริหารคือรัฐบาลกับฝ่ายความมั่นคง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ดูแลระบบราชการส่วนกลางและภูมิภาค พล.อ. ประวิตรดูงานการเมืองและพรรคการเมืองในสภา
อีกประเด็นที่พูดถึงกันมาตลอดคือการปรับโครงสร้าง พปชร.ครั้งนี้จะนำไปสู่การปรับ ครม.แน่นอน
ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์พยายามแยกปัญหาภายใน พปชร.และพรรคร่วมอื่นๆ กับการปรับ ครม.ออกจากกัน

แต่ในสภาพความเป็นจริงของรัฐบาลผสมหลายพรรค ทั้งสองส่วนไม่มีทางแยกออกจากกันได้ชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้การปรับ ครม.คงยากหลีกเลี่ยง
เพียงแต่จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้น
แรงกดดันจากพรรคแกนนำและพรรคร่วมอื่นๆ เป็นปัจจัยหนึ่งทำให้นายกฯ ต้องตัดสินใจปรับครม.
โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือกลุ่ม 4 กุมาร ซึ่งเป็นเป้าใหญ่ของกลุ่มก๊วนใน พปชร.
แต่อย่างที่รู้กันว่าวิกฤตเศรษฐกิจตอนนี้รุนแรงกว่าวิกฤตปี 2540

ที่ผ่านมาถึงผลงานไม่ค่อยน่าประทับใจ แต่การปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจตอนนี้ ไม่ต่างจาก ‘เปลี่ยนม้ากลางศึก’
เป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบระมัดระวังมากที่สุด
ยกเว้นเสียแต่มั่นใจเกินร้อยว่ามีทีมใหม่ที่ดีกว่า เก่งกว่า อย่างนั้นก็ไม่ว่ากัน
แต่ถ้าดูจากอาการนายกฯ ที่พยายามยื้ออยู่ตอนนี้ แสดงว่าหาทีมใหม่ที่ลงตัวยังไม่ได้
ในพรรค พปชร.ดูแล้วก็ยังมือไม่ถึงสักคน
การปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจตามแรงกดดันทางการเมือง เพื่อแก้ปัญหาผลประโยชน์ไม่ลงตัวภายในพรรค

เป็นเรื่องไม่ถูกต้องและไม่ควรทำเด็ดขาด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน