จากม็อบนปช.53
ถึงม็อบปลดแอก 63 : ทิ้งหมัดเข้ามุม
จากม็อบนปช.53 ถึงม็อบปลดแอก 63 : ทิ้งหมัดเข้ามุม – การชุมนุมแฟลชม็อบของกลุ่มเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา
จากจุดเริ่มต้นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 18 ก.ค.โดยเยาวชนปลดแอก
แพร่ระบาดลุกลามไปในหลายจังหวัดทุกภาคทั่วประเทศ
ประกาศนัดชุมนุมทำกิจกรรมรายวัน จนรัฐบาลล็อกดาวน์ไม่ทัน
เป็นภาคสองต่อจากก่อนหน้าสถานการณ์โควิด
ที่แตกต่างไปก็คือตอนนั้นแฟลชม็อบกันในรั้วมหาวิทยาลัย ครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวนอกรั้วมหาวิทยาลัย
ใช้สถานที่แลนด์มาร์กของแต่ละจังหวัดเป็นจุดนัดหมายรวมพล
ครั้งก่อนผู้ร่วมชุมนุมเป็นนิสิตนักศึกษาล้วนๆ ครั้งนี้ออกมานอกรั้วก็เลยมีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก
ภายใต้ 3 ข้อเรียกร้องเนื้อๆ เน้นๆ
หยุดคุกคามประชาชน ยุบสภา และร่างรัฐธรรมนูญใหม่
แต่ในบางเวทีก็มีเติมข้อเรียกร้องอื่นเข้าไป เช่น ให้เลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้กองทัพยุติซื้ออาวุธ ให้นายกรัฐมนตรีลาออก ยุบองค์กรอิสระ โละทิ้ง 250 ส.ว. เป็นต้น
ท่ามกลางความตื่นตัวทางการเมืองของเยาวชนคนรุ่นใหม่
มีคำแนะนำฝากไปถึงนักการเมือง พรรคการเมืองไม่ควรเข้าไปยุ่งกับการชุมนุม
ปล่อยให้นักศึกษาเรียนรู้ของเขาไป เพื่อรักษาภาพความเป็นพลังบริสุทธิ์ พรรคการเมืองควรอยู่ห่างๆ อย่างมากก็ประกาศจุดยืนสนับสนุน
เหมือนที่ฝ่ายค้านอภิปรายในสภายืนกรานไม่เห็นด้วย
กับที่ส.ส.รัฐบาลเสนอญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว
เพราะเห็นว่าเป็นการซื้อเวลาปกป้องรัฐบาล มากกว่าต้องการเปิดรับฟังอย่างจริงใจจริงจัง
ซึ่งฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้ดี จุดยืนชัด และไม่ถูกมองว่าโหนเด็ก
ขณะเดียวกันในส่วนการชุมนุมเหล่าเยาวชน สิ่งที่ผู้ใหญ่และอาจารย์มหา’ลัยหลายคนเป็นห่วง
คืออยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมระมัดระวังอย่าก่อประเด็นล่อแหลมจนเกินไป
ทำให้รัฐบาลสบช่องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส นำมาเป็นข้ออ้างปราบปรามด้วยวิธีรุนแรง
เหมือนที่ม็อบนปช.เคยโดนมาแล้วเมื่อปี 2553
ถูกฝ่ายรัฐกล่าวหาเป็นพวกก่อการร้าย ล้มล้างสถาบัน
เอาเป็นว่าขอแค่ยึดข้อเรียกร้อง 3 ข้อเป็นหลักให้มั่น
หยุดคุกคาม ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ยุบสภา
เท่านี้รัฐบาลก็หาเรื่องไม่ได้แล้ว