กรณีบอส อยู่วิทยา – กรณี ‘บอส อยู่วิทยา’ บานปลายเกินกว่าที่ผู้เกี่ยวข้องคาดคิด
สังคมให้ความสนใจจับตา วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการยุติธรรม
เกิดเป็นกระแสไฟลามทุ่งเข้าสู่การเมือง
เวทีการชุมนุมทำกิจกรรมของกลุ่มนิสิตนักศึกษา ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินคดีเรื่องเครื่องเสียง กีดขวางทางจราจร ถูกจดชื่อ ถ่ายรูป ขอดูบัตรประชาชน ถูกคุกคามให้กลัวด้วยวิธีต่างๆ นานา
เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีบอส อยู่วิทยา
จึงสะท้อนชัดเจนถึงความเหลื่อมล้ำด้านกฎหมายที่นอกเหนือจากเหลื่อมล้ำสองมาตรฐานด้านสังคม การเมืองและเศรษฐกิจที่อยู่คู่ประเทศไทย มาตลอด
ต้องยกความดีความชอบให้กับคนในสังคมที่ช่วยกดดัน
จนกระทั่งล่าสุดกรณีบอส อยู่วิทยา เริ่มกลับเข้ารูปเข้ารอยอย่างที่ควรจะเป็น
เมื่อทีมอัยการออกมาตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงถึงการมีความเห็นและคำสั่งคดีนี้
เป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในสำนวนที่พนักงานสอบสวนเสนอมาไม่มากหรือน้อยกว่านั้น หรือใช้ดุลพินิจ สั่งคดีตามอำเภอใจ
และเมื่อส่งสำนวนกลับไปให้ตำรวจพิจารณาอีกครั้งตามหลักถ่วงดุลการสั่งคดีทางตำรวจก็ไม่ได้แย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม คำสั่งคดีของอัยการไม่ถือเป็นที่สุด หากมีหลักฐานใหม่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งจากไม่ฟ้องเป็นฟ้องได้
ในกรณีบอส อยู่วิทยา หลักฐานใหม่ที่อัยการชี้ไว้ให้ก็คือ เรื่องของความเร็วรถที่มากกว่า 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงและการเสพโคเคน
หากว่ากันตามจริงทั้ง 2 ประเด็นไม่ใช่หลักฐานใหม่เสียทีเดียว
เป็นหลักฐานที่เดิมมีอยู่แล้วเพียงแต่ไม่นำมาใส่ในสำนวนหรือมีอะไรบางอย่างมาบังตาทำให้มองข้ามไป
ตรงนี้ก็ต้องไปไล่เบี้ยกับตำรวจเอาว่าจริงอย่างอัยการแถลงหรือไม่ ถ้าจริง มีแรงจูงใจอะไรให้ต้องทำแบบนั้น
เมื่ออัยการโยนเผือกร้อนกลับมาให้ ก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องแก้ไขข้อผิดพลาด
ด้วยการนำทั้ง 2 ประเด็นบรรจุในสำนวนแล้วส่งให้อัยการมีความเห็นสั่งคดีอีกครั้ง
ก็จะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของคนในสังคมได้บ้าง
ถึงจะไม่ทั้งหมดก็ตาม