สาดสี-สาดกระสุน : ทิ้งหมัดเข้ามุม
กลายเป็นดราม่าที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง สำหรับกรณีที่ม็อบปลดแอก นำโดย ‘ไผ่ ดาวดิน’ หรือ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา พาแกนนำ 15 คนที่ถูกออกหมาย เรียกเพราะชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สน.สำราญราษฎร์
ซึ่งระหว่างนั้นมีจังหวะที่ยื้อยุดระหว่างผู้ชุมนุมและตำรวจที่นำแผงเหล็กมากั้นผู้ชุมนุมใช้ถังสีที่เตรียมมาสาดเข้าใส่
พร้อมประกาศว่านี่คือการตอบโต้กับใส่ร้ายป้ายสีประชาชน ด้วยการแจ้งข้อหาบุกจับกุมคุมขัง เพียงเพราะการออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย
ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการ ‘ตอบโต้’ ที่เหมาะสมหรือไม่ อย่างไร
ยิ่งถ้าเป็นบรรยากาศประชาธิปไตยและโลกที่อุดมด้วยองค์ความรู้ ก็น่าจะมีการนำข้อมูลมาถกเถียงชี้แจงกันได้อย่างมีเหตุมีผล
เมื่อมีการชี้แจงว่าเป็นการแสดงออกเพื่อตอบโต้การใช้อำนาจรัฐคุกคาม การตั้งข้อหา ออกหมายเรียก หมายจับ ทำให้การเคลื่อนไหวสะดุดไม่ราบรื่น
หรือเรื่องการข่มขู่คุกคามเด็กนักเรียน นักศึกษา โดยตำรวจ ครูบาอาจารย์ แม้จะอ้างว่ารับใช้เจ้านาย ก็ต้องถามถึงสำนึกความรับผิดชอบชั่วดี
ก็ต้องรับฟังเอาไว้ ส่วนจะสมควรแก่เหตุ จะเกินเลย จะเป็นศิลปะ หรือไร้รสนิยม
แต่ละคนสามารถเชื่อถือได้เอง โดยไม่ต้องมีใครชักจูง
แต่ที่แน่ๆ ที่ต้องตอกย้ำว่าการ ‘สาดสี’ ที่เกิดขึ้น เรียกไม่ได้เลยว่าความรุนแรง
จะลำบากลำบนอย่างมากก็คือเรื่องการต้องไปซักเสื้อผ้า หรือเลวร้ายที่สุดก็คือการไปซื้อเสื้อผ้าใหม่
ไม่มีใครบาดเจ็บ หรือล้มตาย!??
คนละกรณีกับเหตุการณ์ตำรวจเตะระเบิด หรือกรณีกรวยศักดิ์สิทธิ์ที่ใครแตะต้องแล้วต้องถูกการ์ดม็อบรุมกระทืบ
ยิ่งเทียบไม่ได้กับกรณีมือปืนป๊อปคอร์น หรือการคุกคามขัดขวางเลือกตั้ง
รวมทั้งกรณีความรุนแรงที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐในการประกาศเขตกระสุนจริง จนมีคนตายกลางกรุงเกือบร้อยศพ
ยังไม่นับการอุ้มฆ่า อุ้มหายนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ลี้ภัยไปต่างประเทศ จนต้องหนีกันหัวซุกหัวซุน
สาดสีที่เทียบไม่ได้กับการสาดกระสุน!??
โดย…รุก กลางกระดาน