คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

สุดสะวิงริงโก้กันเลยเชียว สำหรับการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ไม่ใช่เพราะเนื้อหาอันอภิปรายอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน จนส.ว.หลายคนเปล่งประกายเป็นองครักษ์พิทักษ์การสืบทอดอำนาจ จนบรรดาส.ส.ในสังกัดต้องหันมามองกันตาปริบๆ

บางคนพูดแล้วพูดเล่า เวลาเหลือก็ขออีกนิด โชว์ฟอร์มอีกหน่อย เพิ่มมูลค่าให้สมกับที่ได้รับเลือกมา

ยังดีที่บรรดาส.ส.ไม่ต้องไปสะกิด หรือเหยียบเท้า บอกเบาได้เบา บันยะบันยัง เว้นที่ยืนไว้ให้บ้าง

แต่ที่เด็ดสุดๆ ก็คือหลังอภิปราย แทนที่จะลงมติกันตามที่วิป 3 ฝ่าย คือส.ว. ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านตกลงกันไว้

กลับเสนอญัตติแทรกให้ตั้งกมธ.วิสามัญขึ้นมาพิจารณาอีก 30 วัน

แถมเป็นวันสุดท้ายที่จะปิดสมัยประชุม ส่งผลให้ต้องพิจารณาอีกครั้งในสมัยประชุมหน้า

เท่ากับว่าญัตติดังกล่าวยังคาอยู่ในสภา และกระทบชิ่งกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ลงชื่อกัน 100,732 คน จะไม่ได้รับการพิจารณาในสมัยประชุมหน้า เพราะเป็นร่างกฎหมายที่มีหลักการเดียวกัน

เป็นกลเม็ดที่ลึกล้ำ ที่กล้าวางหมาก ทำเอาความเชื่อเรื่องสัจจะ และศักดิ์ศรี เกียรติยศ กลายเป็นเรื่องหลอกเด็ก

รวมทั้งเรื่องการฟังเสียงประชาชนด้วยเช่นกัน

ซึ่งก็น่าเป็นห่วงผลกระทบที่ตามมาในอนาคต จะยิ่งใหญ่เกินคาดเดาและรับผิดชอบไหว

เพราะในระบอบการปกครองของประเทศ ที่แบ่งแยกอำนาจเป็น 3 ฝ่าย ซึ่งก็คือตุลาการ บริหาร และนิติบัญญัติ

อำนาจตุลาการ ก็เข้าสู่ภาวะ ‘ตุลาการภิวัฒน์’ ตั้งแต่ปี 2549 สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลไปแล้ว
อำนาจบริหาร ก็อยู่ในมือของรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจคสช. ซึ่ง 6 ปีที่ผ่านมาก็พอจะรู้อยู่ว่ามีฝีมือ มีวิสัยทัศน์กันแค่ไหน

เหลืออำนาจนิติบัญญัติ หรือสภาที่จะเป็นที่พึ่ง เป็นหนทางออกให้กับความขัดแย้ง ให้กับความอัดอั้นตันใจของประชาชน

ก็ยังมาเล่นเกมการเมืองตามเกมของส.ว.ที่กลัวจะเสียอำนาจ ขณะที่ส.ส.หลายพรรคที่ตีเนียนอ้างสนับสนุนแก้รธน. ก็รู้เห็นเป็นใจ

ดันประเทศเข้าสู่ทางตันอย่างน่าเสียดาย

หลังจากนี้อะไรจะเกิด ก็จงรู้ไว้เถิดว่าล้วนเป็นสิ่งที่พวกท่านทำไว้ทั้งสิ้น

รุก กลางกระดาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน