คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
วิกฤตกระบวนการยุติธรรม – ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง สำหรับสถานการณ์การเมืองไทย ที่ยังไม่รู้จะมีจุดสิ้นสุดที่ตรงไหน
เมื่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ยอมรับฟังเสียงของประชาชน ที่เสนอทางถอยด้วยการลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้
ด้วยการรักษาเก้าอี้ไว้อย่างเหนียวแน่น ภายใต้วาทกรรม ‘ถอยคนละก้าว’
แต่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกลับมีการดำเนินคดีกับทั้งแกนนำและ ผู้ชุมนุม โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างที่เกิดขึ้นกับแกนนำอย่างไมค์-ภาณุพงศ์ เพนกวิน-พริษฐ์ และรุ้ง-ปนัสยา ที่ศาลไม่อนุญาตให้ฝากขัง แล้วให้ปล่อยตัว
แต่ก่อนจะออกพ้นเรือนจำตาม คำสั่งศาล ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบก็เฮโลนำหมายจับค้างเก่าไปอายัดตัว หวังควบคุมตัวเพื่อลิดรอนเสรีภาพของแกนนำ
ทั้งที่บางหมายหมดอายุไปแล้ว เมื่อถูกทักท้วงโดยทนายความก็อ้างว่าเป็น คำสั่งให้มาทำ ต้องปรึกษาผู้บังคับบัญชาอีกครั้ง
ในขณะที่กลุ่มมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาล กลับได้รับการปฏิบัติที่ตรงกันข้าม
เรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องศึกษามีความรู้ได้ปริญญาตรี-โท-เอก มานอนกอด ใช้แค่สามัญสำนึก ก็รู้แล้วว่ามันประหลาด
ทำให้สังคมเกิดความรู้สึกได้ชัดเจนว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยไม่ได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา
แน่นอนว่าเรื่องกระบวนการยุติธรรมนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมาตลอด ตั้งแต่ช่วงวิกฤตการณ์เมื่อหลังปี 2549 เกิด วาทกรรม 2 มาตรฐาน
ปรับเปลี่ยนกลายเป็นหลายมาตรฐาน และที่หนักที่สุดในตอนนี้ คือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาตรฐานคืออะไร!??
ถือเป็นจุดเสื่อมที่น่าเป็นห่วง
เพราะหากกระบวนการยุติธรรม ล้มเหลว อย่าพูดเรื่องสมานฉันท์ อย่าพูดเรื่องการปรองดอง
เอาแค่ประคองชาติบ้านเมืองให้อยู่รอดก็คงจะเหลือบ่ากว่าแรง
จึงเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการให้กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ กลับมาเข้ารูปเข้ารอย เป็นที่พึ่งของประชาชนเสมอหน้ากันได้อย่างแท้จริง
ไม่ใช่เครื่องมือหรือกลไกของผู้มีอำนาจ ใช้เพื่อปกป้องความมั่นคงของตัวเอง
เพื่อไม่ให้บ้านเมืองที่วิกฤตอยู่แล้ว ยังพอมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์