คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
กรณีบ้านหลวงเปิดทางลงหลังเสือ? – เป็นคิวร้อนต่อจากเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ
กรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติและอ่านคำวินิจฉัยคดีบ้านหลวงของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
โดยนัดแถลงด้วยวาจาเวลาบ่าย 3 โมง วันพุธที่ 2 ธันวาคม
เรื่องนี้เป็นผลพวงจากการอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐบาลช่วงต้นปี 2563 ก่อนที่พรรคฝ่ายค้านจะยื่นร้องประธานสภา ผู้แทนราษฎรขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าพล.อ.ประยุทธ์ ใช้บ้านพักทหารในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ เป็นที่พักอาศัย
ตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผบ.ทบ. จนถึงปัจจุบันทั้งที่เกษียณอายุราชการมานานตั้งแต่ 30 กันยายน 2557
อาจเข้าข่ายเป็นการรับประโยชน์ใดๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ อันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 186 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 184 (3) และเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (5) หรือไม่
กองทัพบกชี้แจงยืนยัน กรณีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นไปตามกฎระเบียบว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรอง พ.ศ.2548 เนื่องจากเป็นอดีตผบ.ทบ. และเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพและประเทศชาติ
แต่อีกด้านได้มีการเปรียบเทียบกรณีนี้กับกรณี นายสมัคร สุนทรเวช ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2551 อันเนื่องจากเป็นพิธีกรรายการทีวี “ชิมไปบ่นไป” ขณะดำรงตำแหน่ง
ซึ่งถูกตีความว่าเป็น “ลูกจ้าง” เอกชน เข้าข่าย ขัดรัฐธรรมนูญซึ่งห้ามนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นลูกจ้างของบุคคลใดเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปโดยชอบ ป้องกันมิให้เกิดการกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์
เรื่องนี้จึงกล่าวได้เป็นสองทางคือ หากตีความตามระเบียบกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์สามารถพักบ้านหลวงได้ในฐานะอดีตผบ.ทบ. และเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพและประเทศ
แต่หากตีความตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่สามารถพักอยู่บ้านหลวงได้ เพราะถือเป็นการรับประโยชน์ใดจากหน่วยราชการ อันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์
แน่นอนว่า คงยากจะล่วงรู้ผลการตัดสิน ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
แต่ความที่ปัจจุบัน ในท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเมือง จึงเป็นที่จับตากันมากและวิเคราะห์ผลที่จะตามมาหลังการตัดสิน
บ้างก็มองว่า ผลคดีบ้านพักหลวงอาจเป็นการเปิดทางให้พล.อ.ประยุทธ์ลงจากหลังเสือ
เพื่อไม่ต้องบอบช้ำไปกว่านี้
มันฯ มือเสือ