คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม อย่าให้ถูกหาว่าขายชาติ
ถือเป็นวันระทึกของการเมืองไทยเลยทีเดียว เมื่อศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเรื่องคดีพักบ้านหลวงของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาในวันนี้
จะมีผลให้ครม.ต้องพ้นไปทั้งคณะ หรือจะได้ไปต่อ ก็คงต้องติดตามกันเพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ใครจะคาดการณ์ ใช้ตำรากฎหมายเล่มไหนมาเทียบเคียงก็คงยาก
มีเรื่องเซอร์ไพรส์กันได้ตลอด ป่วยการที่จะวิเคราะห์คาดคะเน
วันนี้จึงนำข่าวที่กินพื้นที่เล็กๆ แต่ผลกระทบกลับมหาศาลมาถกเถียงหาข้อเท็จจริง
นั่นก็คือกรณีสื่อต่างประเทศเสนอข่าวกันอย่างเอิกเกริก สำหรับการแลกตัวนักโทษระหว่างนักวิชาการชาวออสเตรเลีย ที่ถูกจับในข้อหาจารกรรม ในประเทศอิหร่าน
กับ 3 นักโทษชายชาวอิหร่าน ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกของประเทศไทย ซึ่งต้องโทษจำคุก 15 ปี ในคดีวางระเบิดในซอยปรีดีพนมยงค์ 31 สุขุมวิท 77 เมื่อปี 2555
ซึ่งแว่วมาว่าเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ทูตอิสราเอล ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งระหว่างกันอีกด้วย!!?
Advertisement
คำถามที่เกิดขึ้นนั่นก็คือ ไทยเข้าไปเกี่ยวพันอะไรด้วยกับการแลกเปลี่ยนนักโทษในครั้งนี้
ได้ประโยชน์ใดๆ บ้างหรือไม่!??
เพราะคำชี้แจงของกระทรวงยุติธรรมก็ปฏิเสธความเชื่อมโยงทั้งหมด อ้างว่าเป็นเรื่องของมนุษยธรรม เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ
ฟังแล้วก็ต้องเกาหัวกันแกรกๆ
ส่วนสาเหตุที่ต้องถามกันอย่างจริงจัง ก็เพราะในไทยเองเพิ่งมีปัญหาเรื่องบริษัทเหมืองทองรายใหญ่สัญชาติออสเตรเลีย ที่เพิ่งยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย จากกรณีคำสั่งม.44 ปิดเหมืองโดยมิชอบ
และใกล้เหลือเกินที่จะพ่ายแพ้คดี
จนคนอดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
ไม่เพียงแค่นั้นยังกลายเป็นคำถามว่าแล้วความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิสราเอล ต่อท่าทีการปล่อยนักโทษอิหร่านกลับประเทศไป
มีผลเป็นบวกหรือลบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ!??
ยิ่งในยุคที่โจมตีเรื่องรับเงินต่างชาติมาเคลื่อนไหว ก็กล่าวหาว่าขายชาติกันแล้วเยี่ยงนี้
จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องชี้แจงให้ชัด ว่าไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประเทศไปต่อรองแลกเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ค่อยโปร่งใสโสภา
อย่าให้ถูกครหาว่า ‘ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง’
จะพาย่ำแย่กันไปไหน
รุก กลางกระดาน