น่ากังขา-สำนักพุทธฯ – บทบาทสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในระยะหลัง เป็นที่น่ากังขาในหมู่พระสงฆ์สามเณรอย่างมาก

เป็นหน่วยงานที่อำนวยความสะดวกแก่คณะสงฆ์หรือปกครองคณะสงฆ์เสียเอง

ตอนนี้ เข้มงวดเอาจริงเอาจังกับ พระสงฆ์ที่ออกมาติติงรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่า

ถึงขั้นไล่จับสึกพระสงฆ์ที่เข้าร่วมกับม็อบ ไล่ติดตามสามเณรที่ร่วมชุมนุม

ล่าสุด ชงเรื่องให้มหาเถรสมาคม สอบสวนกรณีคณะสงฆ์วัดสระเกศ ประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถา ในโอกาสพระภิกษุอธิษฐานครองผ้าไตรจีวรรับเข้าหมู่สงฆ์

ได้แก่ อดีตพระพรหมสิทธิ อดีตพระราชกิจจาภรณ์ อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ อดีตพระศรีคุณาภรณ์ และอดีตพระครูสิริวิหารการ

อ้างทั้ง 5 รูปอยู่ในช่วงที่ศาลพิพากษาให้รอลงอาญา และในการดำเนินคดีเงินทอนวัดเมื่อปี 2561 ถูกให้พ้นจากสมณเพศ

มีการยกตามมาตรา 30 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ.2535 มาอ้างว่า เมื่อจะต้องจำคุก กักขัง หรือขังพระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลมีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ และให้รายงานให้ศาลทราบถึงการสละสมณเพศแล้ว








Advertisement

ระบุการที่อดีตพระเถระทั้ง 5 รูป ทำพิธีกลับมาห่มจีวรอีกครั้ง อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 208 ประมวลกฎหมายอาญา ที่ระบุว่า ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ-สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ยังขู่เอาผิดกับพระเทพรัตนมุนี ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ที่นั่งเป็นประธานสงฆ์ในพิธีด้วย อาจเข้าข่ายความผิดละเมิดจริยา พระสังฆาธิการ

ยิ่งไปกว่านั้น คือมหาเถรสมาคม พิจารณาตามข้อหารือโดยให้ยึดกฎหมายคณะสงฆ์เป็นหลัก

ทั้งๆ ที่น่าจะยึดพระธรรมวินัยมิใช่หรือ?

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน