โควิดรอบ 3 สะท้อนความผิดพลาดของรัฐบาลประยุทธ์ ชัดๆ อย่างน้อย 2 เรื่องคือ เรื่องล็อกดาวน์ กับเรื่องวัคซีน ที่ลุกลามบานปลายไปถึงปัญหาเตียงเต็ม ยาไม่พอ สายด่วนที่ไม่ด่วน ฯลฯ
เป็นความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ทั้งที่มีบทเรียนมาปีกว่ากับระบาดหนัก 2 รอบ
รอบนี้เป็นรอบ 3 หนักกว่ารอบ 2 ยังต้องลุ้นว่าจะหนักกว่ารอบแรกหรือไม่
เพราะแค่ไม่ถึง 1 เดือนก็ทำนิวไฮ ไล่ทุบสถิติระลอกแรก ระลอก 2 เป็นว่าเล่น
ไม่ว่าจำนวนผู้ป่วยใหม่รายวันที่พุ่งแตะระดับ 2,800 กว่ารายเมื่อเสาร์ที่ผ่านมา หรือจำนวนผู้เสียชีวิตวันเดียวกว่า 10 รายเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเช่นกัน
พูดถึงเรื่องล็อกดาวน์มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
หลังโควิดรอบ 3 ส่งสัญญาณช่วงต้นเม.ย. รัฐบาลเลือกที่จะไม่ล็อกดาวน์ ยังเปิดให้เดินทางข้ามจังหวัดช่วงสงกรานต์ด้วยเหตุผลหลายอย่าง
โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว เกรงว่าถ้าล็อกดาวน์อีกจะยิ่งตายสนิท
ผลคือสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้น 7-14 วัน เป็นอย่างที่เห็น
กล่าวกันว่าสัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์ชี้ชะตา เป็น ‘ช่วงพีก’ ของความเสี่ยงสูงสุด
จากนั้นสิ้นเม.ย.-ต้นพ.ค.ก็จะเห็นกราฟชัดเจน ถ้าลดระดับลงก็ยังมีทางรอด ถ้ายังพุ่งชันก็เตรียมตัวรับมาตรการที่เข้มขึ้น จะถึงขั้นล็อกดาวน์หรือไม่ รัฐบาลคงต้องคิดหนัก
ส่วนเรื่องวัคซีน ชัดว่ารัฐบาลมีปัญหาวิสัยทัศน์อยู่มากพอสมควร
พล.อ.ประยุทธ์สารภาพเองว่า เหตุที่ตอนแรกสั่งวัคซีนเข้ามาน้อย เพราะเราคุมโควิดได้ดีมาก จึงเอามาแค่พอจำเป็น ไม่อยากให้ประชาชนเสี่ยงเป็นหนูลองยา
แต่ล่าสุดก็ต้องกลับลำ เร่งเจรจานำเข้าวัคซีนอีก 2 ยี่ห้อคือ ไฟเซอร์จากสหรัฐ กับสปุตนิก วี ของรัสเซีย
โดยพร้อมปรับแก้กฎระเบียบต่างๆ ให้จัดซื้อได้เร็วขึ้น ยังไม่ขึ้นทะเบียนกับ อย.ก็ไม่เป็นไร ทำได้โดยใช้กฎหมายฉุกเฉินจัดซื้อ
‘ประยุทธ์-อนุทิน’ ยืนยันจะเร่งจัดหาวัคซีนให้ได้โดยเร็ว แต่ไม่ได้บอกวัน ว. เวลา น. ชัดเจนว่าเมื่อไหร่
วันนี้คนไทยส่วนใหญ่จึงต้องฉีด ‘วัคซีนทิพย์’ ไปพลางๆ
สถานการณ์โควิดในไทยมาถึงจุดนี้ได้ จึงไม่แปลกที่เราจะพบว่า
เสียงเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
มันฯ มือเสือ