ไม่ไหวอย่าฝืน – ยังมองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์เลยจริงๆ สำหรับวิกฤตการณ์โควิดที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ

ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นในระดับวันละ 2 พันคนอย่างต่อเนื่อง จำนวนผู้เสียชีวิตที่มีอัตราอายุเฉลี่ยลดลง บางส่วนเป็นระดับคนหนุ่มสาว แถมยังติดเชื้อไม่กี่วันก็เสียชีวิต

จำนวนเตียงผู้ป่วยทั้งแบบธรรมดาและไอซียูก็ลดลง จนน่าหวาดผวาว่าจะไม่เพียงพอรองรับคนไข้

ไม่รวมกับข้อครหา เรื่องคนไข้วีไอพี ที่ป่วยแล้วมีเตียงตลอด กับชาวบ้านทั่วไปที่ต้องทนรออยู่บ้าน แถมที่ทนไม่ไหวก็ตายไปอย่างน่าสลดหดหู่

ทั้งหมดต้องการการบริหารจัดการภาวะวิกฤตแบบมืออาชีพ!!!

แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ การไม่กล้าตัดสินใจของฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องล็อกดาวน์ การป้องกันการแพร่ระบาด ที่โยนให้แต่ละจังหวัด ให้ผู้ว่าฯ ของแต่ละที่ประกาศกันเอง

ซึ่งก็เป็นเพราะไม่พร้อมที่จะชดเชยเยียวยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของรัฐบาล ทำให้การทำงานไม่เป็นเอกภาพ ขาดการขับเคลื่อนอย่างมียุทธศาสตร์

เรื่องการจัดซื้อวัคซีน ที่หลายฝ่ายพร่ำบอกกันปากเปียกปากแฉะว่า เป็นทางรอดเดียวของวิกฤตโควิดครั้งนี้

รัฐบาลก็ทำเฉยเมยเป็นทองไม่รู้ร้อน พอเริ่มจวนตัวก็เริ่มพล่าน เร่งเจรจากับทุกยี่ห้อ ออกโทรทัศน์แถลงจะจัดหาวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดส ฉีดให้คนไทย 50 ล้านคนภายในสิ้นปี

ที่พูดก็พูดไป แต่ทำได้หรือไม่ก็อีกเรื่อง เพราะหากคำนวณดูดีๆ จะฉีดให้ครบใน 7 เดือน ก็ต้องฉีดกันวันละอย่างน้อย 4 แสนโดสขึ้นไป แผนจะดำเนินการอย่างไรก็ยังไม่ปรากฏให้รับรู้

ไม่นับว่าวัคซีน 100 ล้านโดส ตอนนี้ก็ยังเป็นวัคซีนทิพย์ จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น

และแทนที่จะเร่งประกาศแผนงาน ก็มัวไปวุ่นวายกับเรื่องไล่จับคนใส่ หรือไม่หน้ากากอนามัย สั่งสอนประชาชนอย่าการ์ดตก แต่ตัวเองกลับไม่ใส่ใจ

เข้าทำนอง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง

แล้วจะให้ชาวบ้านเขามั่นอกมั่นใจได้อย่างไรว่าบริหารได้ บริหารเป็น

สุดท้ายมันจะไม่ได้พังแค่คน คนเดียว แต่ระบบทุกอย่างมันจะพินาศ

เตือนกันดังๆ อีกครั้ง ว่าไม่ไหว อย่าฝืน!!

รุก กลางกระดาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน