ไม่ต้องมาสอนประชาชน : ทิ้งหมัดเข้ามุม
น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับกระบวนการผลิตซ้ำ ด้วยนำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกองค์กร ปูพรมออกสื่อขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในวัคซีนโควิด
ตอกย้ำซ้ำทวนว่าวัคซีนที่ดี คือวัคซีนที่มี ไม่จำเป็นต้องเลือกยี่ห้อ และต้องฉีดวัคซีนกันให้มากๆ
ซึ่งก็คงไม่น่าแปลกใจ เพราะข้อมูลที่มีตอนนี้มันสับสนปนเปกันไปหมด อย่างตอนแรกระบุว่าจะใช้เป็นแอสตราเซเนกา เป็นวัคซีนหลัก
แต่ข้อเท็จจริง คือเราใช้วัคซีนซิโนแวค ที่นำเข้ามากว่า 3 ล้านโดส ในขณะที่แอสตราเซเนกา มีอยู่เพียง 2 แสนกว่าโดสเท่านั้น
ก็เข้าใจว่าจะต้องรอบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ผลิตออกมาในช่วงมิ.ย. หรือประมาณอีก 1 เดือนก็จะส่งมอบได้ จำนวน 35 ล้านโดส
ซึ่งก็ไม่มีข้อมูลอีกว่าล็อตแรกที่จะให้ไทยนั้นมีจำนวนเท่าใด และวันเวลาที่ชัดเจนจะเป็นอย่างไร
เพราะต้องไม่ลืมว่าการให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ผลิต จะเป็นฐานการผลิตให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
กล่าวคือวัคซีนที่ผลิตได้ต้องถูกกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ
แล้วจะตกอยู่ที่ประเทศไทยเท่าไหร่ เพียงพอต่อจำนวนประชากรหรือไม่
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสำนึกรู้ว่าปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าคนไม่พร้อมจะฉีดวัคซีน
เพราะทุกคนก็รู้ว่าไม่ว่าจะห่วยขนาดไหน วัคซีนก็ยังเป็นทางรอด 1 เดียวที่จะพ้นวิกฤตโควิดอันนี้ได้
แต่แย่ที่สุดคือคนอยากฉีดวัคซีน แต่รัฐบาลไม่มีให้ต่างหาก
นี่ยังไม่นับความล่าช้า ที่จะฉีดกลุ่มเสี่ยงในวันที่ 6 มิ.ย. หรืออีก 1 เดือน ในขณะที่มีคนตายเฉลี่ยวันละ 20 คนต่อไป
นั่นก็คือกว่าจะเริ่มฉีด ต้องมีคนตายอีก 600 คน ชีวิตคนเหล่านี้ไม่มีค่าเหรอ หรือเพราะพวกท่านฉีดกันหมดแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจ!??
ปัญหาวัคซีนไม่เพียงพอต่างหากที่สำคัญ
ยังไม่นับที่ขายฝัน จะฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสให้คน 50 คน ภายในสิ้นปี
หรืออีก 7 เดือน
ซึ่งเท่ากับว่าต้องมีวัคซีนให้ฉีดไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15 ล้านโดส
ดังนั้นบรรดาแพทย์และองค์กรต่างๆ ไม่ต้องมาสอนประชาชนตระหนักถึงวัคซีน
สิ่งที่ควรทำก็คือจี้ไปยังรัฐบาลให้หาวัคซีนมาให้เพียงพอ ก่อนที่คนจะตายมากไปกว่านี้ต่างหาก
ช่วยรู้สึกตัวกันสักทีเถอะน่า!!
รุก กลางกระดาน