คลัสเตอร์คุก – สถานการณ์แพร่ระบาดโควิดของไทย เกิดประเด็นร้อน ‘คลัสเตอร์คุก’
คลัสเตอร์ที่มีผู้ติดเชื้อมากสุดจากการแถลงครั้งเดียวเกือบ 2,900 รายในวันแรก วันที่สอง 500 กว่าราย วันที่สามเกือบ 900 ราย และวันอาทิตย์ที่ผ่านมาอีก 2,300 กว่าราย รวม 4 วัน เกือบ 7,000 ราย
ดันยอดผู้ป่วยใหม่ทะยานขึ้นไปถึง 4,800 รายในวันเดียวเมื่อสัปดาห์ก่อน
เคยมีนักวิชาการวิจัยสำรวจ ระบุไทยเป็นประเทศมีผู้ต้องขังในเรือนจำแออัดมากอันดับ 6 ของโลก อันดับ 3 เอเชีย และอันดับ 1 อาเซียน
หรือหากเป็นข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ตรงอย่าง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่อธิบายภาพความแออัดยัดเยียดของคุก หากคิดว่าคลองเตยแออัดแล้ว เทียบกับในเรือนจำยิ่งกว่าคลองเตยคูณสิบ
ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่จะอยู่ห่างกันเกิน 1 ก้าว ไม่ว่ากินข้าว อาบน้ำ ขังรวม นอนเรียงกันเป็นพืด 15 ชั่วโมง บ่าย 3 ยัน 6 โมงเช้า
ห้อง 40 ตารางเมตร ช่วงตำรวจฟิตจัดๆ อยู่รวมกัน 60-70 คน เท่ากับ 1 ตารางเมตรนอน 2 คน
ลุกไปเยี่ยวกลับมาที่นอนไม่ว่างแล้ว
หากเป็นอย่างที่นายชูวิทย์ว่า โควิดระบาดในคุกจะสยดสยองขนาดไหน?
กรณีคลัสเตอร์คุก สังคมตั้งคำถามมาก เช่น ต้นตอระบาดจากใคร มีการเบิกตัวนักโทษไปข้างนอกแล้วนำเชื้อกลับเข้ามาโดยไม่ผ่านการตรวจคัดกรอง ไม่ผ่านมาตรการกักตัว จริงหรือไม่
แต่ที่น่าสงสัยมากสุด ทำไมราชทัณฑ์ถึงปกปิดตัวเลข ไม่แจ้งให้กระทรวงสาธารณสุขและศบค.รับทราบโดยทันทีที่ตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อตั้งแต่เดือนเม.ย.
ต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงคำถามแจ๊กพอต สรุปใครต้องรับผิดชอบกรณีคลัสเตอร์คุก อธิบดี รัฐมนตรี หรือสูงกว่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญสุดตอนนี้ รัฐบาล ศบค.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งควบคุมคลัสเตอร์คุกให้ได้โดยด่วนในขณะที่ยังมีแค่คนป่วยติดเชื้อ ยังไม่มีตาย ก็อย่าให้ไปถึงขั้นนั้น
เพราะนักโทษเหล่านี้ไม่แน่ว่าเมื่อพ้นโทษออกมา บางคนอาจสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้อีกมาก
ตัวอย่างก็เพิ่งมีให้เห็น อดีตนักโทษติดคุกคดีอาญาร้ายแรง ถึงจะเป็นคุกเมืองนอก แต่คุกก็คือคุก
เวลาผ่านไป จากอดีตนักโทษได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
คนแต่งตั้งนี่ก็เหลือเกินจริงๆ
มันฯ มือเสือ