ถือเป็นผลที่น่าสนใจอย่างยิ่ง สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่เพิ่งผ่านพ้นไป

แม้ตอนแข่งขันหาเสียง จะยังดูสูสีมีคู่แข่ง

สุดท้ายผลก็ออกมาแลนด์สไลด์ เมื่อคนกรุงเทคะแนนให้ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ทะลุ 1.3 ล้านคะแนน ทิ้งห่างอันดับ 2 ล้านกว่าคะแนน

ถือเป็นบทสรุปที่ทุกฝ่ายต้องนำไปวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นฉันทามติของประชาชนที่รู้สึกพอแล้วกับสภาพการเมืองที่อึดอัด จนต้องหาทางออก

หรือแม้แต่กรณียุทธศาสตร์ ‘ไม่เลือกเราเขามาแน่’ หรือที่แน่ๆ ก็คือ ‘ชัชชาติ’ มาแน่ แทนที่จะเป็นผลดีกับผู้เสนอ กลายเป็นคนกลัวว่า ‘ชัชชาติ’ จะไม่มาจนต้องไปลงคะแนนกันถล่มทลาย

และต้องดูว่าผลงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะตรงใจชาวกรุง และนำไปสู่การรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ หรือการเลือกตั้งทางตรงได้มากน้อยเพียงใด

แน่นอนว่าผลเลือกตั้งส.ก.ที่เพื่อไทย และก้าวไกล กวาดที่นั่งได้รวมกัน ถึง 34 ที่ ประชาธิปัตย์เองทำผลงานได้ดีขึ้น หากเทียบกับการไม่ได้ส.ส.ในกทม.เลยแม้แต่คนเดียว โดยได้ส.ก.มา 9 ที่นั่ง

ที่น่าใจหายก็คือการหดหายไปของพปชร. ที่ได้ส.ส.กทม.มากที่สุด กลับเหลือเก้าอี้ส.ก.เพียงแค่ 2 ที่นั่ง

ทุกอย่างบ่งบอกอะไรได้มากจริงๆ

แต่ก่อนจะไปวิเคราะห์ถึงเรื่องดังกล่าว ยังมีเรื่องสำคัญที่ไม่ควรปล่อยผ่าน นั่นก็คือความวุ่นวายในวันลงคะแนน

เพราะประธานกกต.ดันไปให้สัมภาษณ์ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องใช้ปากกาน้ำเงิน ไม่เช่นนั้นจะเป็นบัตรเสีย

กว่าหลายฝ่ายจะออกมาชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีข้อกฎหมายห้าม ก็สับสนป่นปี้

นี่ขนาดเลือกตั้งท้องถิ่น ถ้าเป็นเลือกตั้งทั่วไปจะวุ่นขนาดไหน

จริงๆ แล้วกกต.ที่ต้องดูแลจัดการเลือกตั้ง ควรจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากไม่รู้ก็ต้องศึกษา

หนำซ้ำที่ผ่านมาสังคมก็ตั้งคำถามกับกกต.ชุดนี้ ทั้งเรื่องบัตรเขย่ง สูตรคำนวณพิสดาร

หากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมจนกระทบต่อฉันทามติของประชาชน

สังคมคงไม่อภัยแน่นอน!!!

รุก กลางกระดาน

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน