พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดอาการชีพจรลงเท้าช่วงใกล้ยุบสภาเลือกตั้ง
เดินสายลงพื้นที่ต่างจังหวัดถี่ยิบ อ้างว่าไปตรวจงานในช่วงรอยต่อการเมือง เพราะกลัวข้าราชการใส่เกียร์ว่าง นายกฯ จึงต้องลงไปกำกับติดตามดูแล
แต่กลับขนทีมงานรวมไทยสร้างชาติไปด้วยเต็มพิกัด
เป็นเหตุให้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย และอดีต กกต.ทนดูไม่ไหว
เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบการลงพื้นที่ตรวจราชการของพล.อ.ประยุทธ์ และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ควบเก้าอี้เลขาธิการนายกฯ เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางราชการเอื้อประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่
นายสมชัยระบุ ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.2565 ที่พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งนายพีระพันธุ์เป็นเลขาธิการนายกฯ จนถึงปัจจุบัน
พบว่า ลงพื้นที่ตรวจราชการ 16 ครั้งใน 18 จังหวัด แอบแฝงการหาเสียง เพราะนำว่าที่ผู้สมัครส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติมาร่วมลงพื้นที่ด้วย
ทั้งยังนำทรัพยากรของรัฐ เช่น การใช้เครื่องบินของกองทัพอากาศ 8 เที่ยว เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก 18 เที่ยว
รวมถึงเกณฑ์ข้าราชการ ชาวบ้านมาต้อนรับ มีตำรวจ ทหารคอยรักษาความปลอดภัย
ส่วนงานที่นายกฯ ลงไปทำ และเผยแพร่ในเว็บไซต์ของราชการ อาทิ ตรวจการก่อสร้างอาคารจอดรถโรงพยาบาล ตรวจเจดีย์ที่อยุธยา เปิดงานสัมมนา เปิดสวนสาธารณะ เปิดแพขนานยนต์
ไม่ใช่ไม่สำคัญ แต่ถามว่างานแบบนี้เหมาะสมกับบทบาทนายกรัฐมนตรีหรือไม่ สมศักดิ์ศรีการทำงานของนายกรัฐมนตรีแล้วใช่หรือไม่
แต่ละครั้งที่ไปก็ใช้เครื่องบินของกองทัพอากาศ ใช้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก เป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
การกระทำเหล่านี้ผิดกฎหมายพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.หรือไม่ เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องตรวจสอบ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม ไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกัน
นั่นก็เรื่องหนึ่ง
แต่ในฐานะที่พล.อ.ประยุทธ์ แสดงตัวจะลงแข่งขันทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ รู้จักการแข่งขันที่เป็นธรรม ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพรรค นี่คือสปิริตเบื้องต้น
ถ้าไม่รู้จักสิ่งนี้ ก็อย่ามาลงแข่ง
และสิ่งที่นายสมชัยไม่ได้พูด แต่หลายคนพูดก็คือ อยู่มา 8-9 ปีลงพื้นที่ตรวจงานนับครั้ง ยังไม่ถี่เท่ากับช่วง 2-3 เดือนหลังมานี้
แอบแฝงหาเสียงหรือไม่ ประชาชนเขาดูออกกันทั้งประเทศ
มันฯ มือเสือ