อะไรก็เกิดขึ้นได้จริงๆ สำหรับการเมืองไทย

เมื่อสุดท้ายพรรคอันดับ 1 ที่ชนะการเลือกตั้ง 151 เสียง อย่างพรรคก้าวไกล ต้องยอมสละเก้าอี้นายกฯ ถอยฉากออกมาให้พรรคอันดับ 2 อย่างเพื่อไทยขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน

เพราะไม่ผ่านด่านส.ว.ที่ไม่ยอมโหวตให้ในรอบแรก และในรอบ 2 ยังไม่มีโอกาสจะโหวตก็ใช้กระบวนการตีความกฎหมายแบบพิสดาร ให้ ข้อบังคับการประชุมรัฐสภามีอำนาจใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญที่ใช้ปกครองบ้านเมือง

เล่นเอาอาจารย์กฎหมายที่พร่ำสอนกฎหมายมหาชนถึงกับเลิ่กลั่ก กันยกใหญ่

ลามไปถึงการตั้งคำถามว่ามีใครที่รู้เห็นเป็นใจ หรือรับงานมาให้เกิดเรื่องพรรค์นี้หรือไม่

พิสูจน์ได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่คนทำก็คงจะรู้ตัวเอง กลายเป็นมลทินมัวหมองติดตัวตลอดไป

ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือเหตุผลที่ เหล่าบรรดาส.ว.ยกมาสกัดก้าวไกล หลักๆ คือเรื่องแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112

ทั้งที่เรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในเอ็มโอยู 8 พรรค และไม่ว่าก้าวไกลจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน การเสนอแก้ไขกฎหมายก็ทำได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ








Advertisement

แถมก่อนการเลือกตั้งทุกเวทีดีเบตก็ นำประเด็นดังกล่าวมาเป็นหัวข้อถกเถียง พูดกันจนดูเป็นเรื่องปกติ พูดกันทุกพรรคการเมือง และไม่ใช่แค่พรรค ก้าวไกลพรรคเดียวที่จะเสนอให้แก้ไข

แต่สุดท้ายกลายเป็นเหตุผลสำคัญ ที่แม้แต่พวกเดียวกันก็ยกขึ้นมาทิ่มแทง!!

สุดท้ายการจัดตั้งรัฐบาลก็เลยเถิดบานปลายกลายเป็นข้อเสนอ หรือจะเป็นเรื่องข้ออ้าง ที่จะต้องดึงพรรคการเมืองอื่นเข้ามาเพิ่ม

ไม่สนว่าจะเป็นพรรคลุง หรือพรรคสมุนลุง ที่ก่อนเลือกตั้งด่ากันจะเป็นจะตาย รังเกียจกันยิ่งกว่าอะไร

เป็นการเมืองที่กลับตาลปัตร ก่อนเลือกตั้งพูดกันอย่างไร หลังเลือกตั้งจะทำอย่างไร เหมือนไม่ต้องมีความรับผิดชอบ

ความจำสั้นกันไปทั้งหมด

ยิ่งจุดชนวนความสงสัยต่างๆ ทั้งเรื่องดีลลับ ดีลรัก หรือดีลลวง สารพันคำพูดที่เอามาใช้

ปฏิเสธกันเป็นรายวันว่าไม่จริงอย่างนั้นอย่างนี้

สุดท้ายกาลเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์

รุก กลางกระดาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน