ผ่านการเลือกตั้งนานเกือบ 3 เดือน การโหวตนายกรัฐมนตรีโดยที่ประชุมร่วมรัฐสภาถูกกำหนดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 4 ส.ค.
อย่างไรก็ตาม กระบวนการได้มาซึ่งนายกฯ จะสำเร็จลุล่วง หรือมีข้อติดขัดสำคัญบางประการทำให้ต้องเลื่อนออกไป ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 3 ส.ค.
วันดังกล่าว คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุมพิจารณาว่าจะรับคำร้องไว้วินิจฉัยหรือไม่ ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ศาลพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
กรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ รอบสอง เพราะถือเป็นญัตติซ้ำ และโหวตตีตกไป
ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
โดยเห็นว่าการดำเนินการให้ความเห็นชอบรายชื่อบุคคลเป็นนายกฯ เป็นการกระทำตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ
ไม่ใช่กรณีเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 ซึ่งเป็นคนละหมวดกัน ดังนั้น การดำเนินการของรัฐสภาวันที่ 19 ก.ค. มีการกระทำขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 88 มาตรา 159 และมาตรา 172
และก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย หากปล่อยให้คัดเลือกเห็นชอบบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ดำเนินการต่อไป อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ยากต่อการเยียวยา จึงมีมติขอให้ศาลกำหนดมาตรการวิธีการชั่วคราว
Advertisement
สั่งชะลอการให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯ ออกไปก่อน
มีการวิเคราะห์คาดการณ์ถึงผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อคำร้องดังกล่าว สามารถออกได้ 3 แนวทางด้วยกัน
แนวทางแรก ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ซึ่งจะทำให้กระบวนการโหวตนายกฯ วันที่ 4 ส.ค. ดำเนินการต่อไปได้ตามที่ประธานรัฐสภานัดหมายกับสมาชิก สส. สว.
แนวทางที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง แต่ไม่มีคำสั่งให้ชะลอการโหวตนายกฯ การโหวตนายกฯ 4 ส.ค. ก็ยังเกิดขึ้นได้ แม้อาจมีปัญหาตามมาหากมีคำวินิจฉัยออกมาภายหลังว่า การกระทำของรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
แนวทางที่สาม ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง และมีคำสั่งให้ชะลอการโหวตนายกฯ ไว้ก่อน ซึ่งหากออกมาแนวทางนี้ก็จะทำให้กระบวนการได้มาซึ่งนายกฯ คนที่ 30 ต้องทอดยาวออกไป การจัดตั้งรัฐบาลเกิดภาวะชะงักงัน
ตามหลักการที่ว่า ไม่มีใครสามารถก้าวก่ายชี้นำองค์กรตุลาการได้ ทั้ง 3 แนวทางจึงเป็นแค่ข้อวิเคราะห์คาดการณ์
บนพื้นฐานความเชื่อมั่น สุดท้ายแล้วคำวินิจฉัยวันที่ 3 ส.ค. จะเป็นทางออกให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
มันฯ มือเสือ