ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
ถือเป็นความทุกข์เข็ญของชาวนาที่ ถือเป็นกระดูกสันหลังของชาติอย่างแท้จริง
เมื่อกระเสือกกระสนดิ้นรนเอาตัวรอดจากฝนตกน้ำท่วม ปกป้องพืชพันธุ์ข้าวที่ส่อจะเสียหาย ไร่นาล่มสลาย ด้วยการเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต
กลับต้องมาทุกข์ซ้ำกับกรณีที่เจอโรงสีรับซื้อข้าวในราคาถูกแสนถูก ในราคาเกวียนละ 5,000-6,000 บาท
แถมยังถูกกดราคาซ้ำด้วยข้ออ้าง เรื่องความชื้น ทำให้ราคาข้าวเหลือเพียงกิโลกรัมละ 5 บาท
ตกต่ำที่สุดในรอบสิบปี!??
จนกลุ่มชาวนาต้องออกมารวมตัวขายข้าวกันเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง
แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก ด้วยเทคโนโลยี และการบริหารจัดการที่ยังไม่ดีพอ
ตามมาด้วยคำถามถึงรัฐบาลว่าได้วางมาตรการแก้ปัญหาทุกข์ยากของชาวนาเอาไว้อย่างไร
มองเห็นปัญหาก่อนที่จะเกิด แล้วกำหนดแนวทางแก้ ตามแนวทางการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ
หรือปล่อยปละละเลยไปตามยถากรรม
ซึ่งก็ยังดีที่นายกฯ สั่งประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว เพื่อแก้ปัญหาทันที
แต่ก็น่าวิตกกับแนวคิดของนายกฯ ที่เชื่อว่าปัญหาเรื่องนี้เกิดจากการเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมือง ร่วมมือกับโรงสี กดราคา เพื่อให้เป็นประเด็นต่อต้านรัฐบาล!??
ทั้งที่รัฐบาลนี้บริหารประเทศมากว่า 2 ปี มีทหารเป็นฐานอำนาจ ควบคุมเข้มข้น จนนักการเมืองแทบไม่มีที่ยืน
การตั้งโจทย์ผิดเช่นนี้ จึงน่าวิตกว่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง
ผลกระทบก็ไปตกอยู่ที่ประชาชน
นอกจากนี้ ระหว่างการแก้ปัญหา ก็ต้องแสดงท่าทีให้เหมาะสม เข้าใจถึงความทุกข์ยากของประชาชน
พวกคำพูดประเภทถ้าปุ๋ยแพงกว่าข้าวก็ให้ไปขายปุ๋ยแทนนั้น
แม้พูดเล่น หยอกล้อกันกับนักข่าวหรืออะไรก็ตามที ก็ไม่ควรออกมาให้ได้ยิน
เพราะชาวนาเขาไม่ตลกด้วย
แถมยังช้ำใจอีกไม่น้อย