นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ให้นิยามสภาวะเศรษฐกิจของไทยในปีหน้าว่า “หนักใจ”
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ว่าโตต่ำกว่าคาด และปรับลดประมาณการลงมาอยู่ที่ 2.5% จากเดิม 3.0%
เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่กระเตื้อง เพราะพึ่งพาการส่งออกสูง แต่ติดลบถึง 25%
นอกจากนี้ ยังเผชิญกับปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลลบกับอุปสงค์ภายในประเทศไปด้วย
กระทบกับภาคการท่องเที่ยวของไทย ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจากจีนเป็นหลัก
นอกจากนี้ อุปสงค์ยังที่ได้รับผลจากการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงภาคการผลิตที่ยังชะลอต่อเนื่อง และหนี้ครัวเรือนยังสูง
สะท้อนจากยอดขายรถยนต์ที่ยังหดตัวหลายเดือนติดต่อกัน
สำหรับปี 2567 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ 3.1% เนื่องจากมีการลงทุนจากภาครัฐบาล เอกชน การบริโกค และการส่งออกสินค้าที่คาดว่าขยายตัว 2%
รวมถึงนักท่องเที่ยวที่น่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30.6 ล้านคน จาก 27.6 ล้านคนในปีนี้
หากรวมกับมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะดำเนินการช่วงเดือนพ.ค.ปีหน้า คาดว่าจะโตได้ 3.6%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ด้วยว่าไทยต้องการเครื่องจักรใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับศักยภาพของประเทศน่าจะเติบโตได้มากกว่านี้
ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ เศรษฐกิจฟื้นตัวเป็นตัววี แต่ไทยยังเป็นเครื่องหมายถูก
นอกจากนี้ยังมีตัวฉุดคือ ภาระหนี้ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง หากมาตรการแก้หนี้ของรัฐบาลไม่สำเร็จจะเป็นความเสี่ยง
แต่ถ้าสำเร็จจะผลักดันการเติบโตได้ดี
ด้านแบงก์ชาติ ก็ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 จาก 4.4% เหลือ 3.8%
จากปัจจัยด้านการท่องเที่ยวที่มูลค่าลดลง และมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตมีการเปลี่ยนเงื่อนไข เวลา และรูปแบบออกไป
โดยสรุปสถานการณ์เศรษฐกิจในปีหน้า จึงไม่น่าไว้วางใจนัก แต่ก็หวังว่าจะดีขึ้น!!
เภรี กุลาธรรม