การเมืองกับตลาดหุ้นมักแยกจากกันไม่ออก
วันจันทร์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงหนักลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปีนับจากช่วงวิกฤตโควิด-19 เมื่อปี 2563
นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นมองว่า นอกจากปัจจัยความกังวลในทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
การที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวร่วงหนักเช้าวันจันทร์ยังมีปัจจัยการเมืองในประเทศเข้ามาสอดแทรก เนื่องจากนักลงทุนเกิดความกังวลเรื่องปัญหาการเมืองที่มีความไม่แน่นอน ว่าจะไปสู่ทิศทางใด
โดยเฉพาะเรื่องศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน ทำให้นักลงทุนอาจจะเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง
แม้ว่าในทางการเมืองสถานการณ์ของนายกฯ เศรษฐา อาจไม่ได้หนักหนาอย่างที่หลายฝ่ายเป็นกังวล
แต่การที่ตลาดหุ้นร่วงลงมาหนัก อาจเพราะนักลงทุนอ่อนไหวกับกระแสข่าวเชิงลบที่บางกลุ่มบางคนปล่อยออกมา
นอกจากคดีนายกฯ เศรษฐา คดีใหญ่การเมืองยังมีคดียุบพรรคก้าวไกล ในชั้นพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กับการที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในคดี 112
อย่างไรก็ตาม ต่อสถานการณ์ตลาดหุ้นที่ทำสถิติจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี นายกฯ เศรษฐา มองว่าเป็นสถานการณ์ตามปกติของตลาดหุ้น ปัจจัยทางการเมืองที่มีคดีการเมืองถึง 3 คดี เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตลาดคงมีความกังวล
สำหรับคดีของตนเองได้ส่งคำชี้แจงให้กับศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
ข้อสังเกตคือ นายกฯ เศรษฐา ไม่เคยพูดลงลึกรายละเอียดถึงแนวทางต่อสู้คดีของตนเอง จะพูดแค่ว่าเมื่อทำคำชี้แจงส่งไปแล้ว ต้องให้ความเคารพต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น ที่เป็นข่าวรายวันส่วนใหญ่จะมาจากบรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลาย บางคนวิเคราะห์เป็นกลางๆ ตามเนื้อผ้า แต่บางคนวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความอคติ เอนเอียง ด้วยไม่ชอบนายกฯ เศรษฐา ไม่ชอบทักษิณ ไม่ชอบพรรคเพื่อไทย เป็นทุนเดิม
ซึ่งถือเป็นสิทธิ์ทำได้ แต่ก็ควรระมัดระวังต้องไม่เป็นการกดดัน หรือชี้นำศาล
ไม่เช่นนั้นดัชนีความน่าเชื่อถือในตัวผู้วิพากษ์วิจารณ์ อาจร่วงหนักยิ่งกว่าตลาดหุ้น
มันฯ มือเสือ