ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
นับเป็นเหตุระทึกขวัญ สร้างความหวาดผวาให้กับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยิ่ง
สำหรับการลอบก่อเหตุรุนแรง ทั้งกราดยิง วางระเบิด วางเพลิง หลายสิบจุดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อคืนวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งทรัพย์สินเสียหายอีกเป็นจำนวนมาก
ถือเป็นการก่อเหตุที่รุนแรงต่อเนื่องหลายจุดที่แสดงศักยภาพ และแสดงออกว่าไม่สนใจในกระบวนการเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่รัฐไทย
หนำซ้ำยังก่อเหตุในวันเดียวกับที่ครม.ส่วนหน้า นำโดยพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ลงใต้เป็นวันแรกเสียด้วย
ตอกย้ำให้เกิดคำถามถึงศักยภาพในการป้องกัน เฝ้าระวังการก่อเหตุของเจ้าหน้าที่ ว่ามีระดับความสามารถขนาดไหน
รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาดับไฟใต้ที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลนั้น มาถูกทางแล้วจริงหรือไม่
เพราะการยืนยันของเจ้าหน้าที่รัฐที่ระบุว่าการก่อเหตุรุนแรงน้อยลง มันสวนทางกับความรู้สึกของคนในพื้นที่เสียจริงๆ
ทั้งนี้การก่อเหตุดังกล่าวก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร เริ่มตั้งแต่การที่ เจ้าหน้าที่รัฐออกมาปิดล้อมจับกุมคุมขังนักศึกษา และเยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้
เพื่อเอาตัวไปเค้นสอบหาที่มาของคาร์บอมบ์ที่มีการแจ้งเตือนจะก่อเหตุในกทม.
ซึ่งหลายกรณีมีเสียงโต้แย้งจากองค์กรภาคประชาชน และนักวิชาการว่า เข้าขั้นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ไม่ว่าจะเป็นการกักตัวทำ ให้เสียอิสรภาพโดยไม่แจ้งข้อหา
รวมทั้งการปิดล้อมบ้านในอ.รือเสาะ จ.นราธิวาส จับตายคนร้ายที่อ้างว่าเป็นแกนนำอาร์เคเค โดยระบุว่าเป็นการยิงต่อสู้
แต่เสียงของชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์กลับมองต่างกัน !??
ทั้งหมดนี้เป็นไปได้มาก ที่จะกลายเป็นชนวนเหตุของการตอบโต้รุนแรง
ที่เจ้าหน้าที่ควรทบทวนแนวทางการปฏิบัติ ไม่ให้เป็นเงื่อนไขก่อเหตุรุนแรงขึ้นอีก