ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจสถานภาพหนี้ ครัวเรือนไทยปี 2567 พบว่าคนไทยมีหนี้เฉลี่ย 606,378 บาทต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.4%
สูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่สำรวจมาในช่วง 16 ปี คิดเป็น 90.4-90.8% ของจีดีพี มีอัตราภาระการผ่อนชำระ 18,787 บาทต่อเดือน
เปรียบเทียบภาระหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบกับปีก่อน พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั้ง 2 รายการ โดยหนี้นอกระบบคิดเป็น 10-20% ของจีดีพีที่เพิ่มขึ้น เพราะการกู้ในระบบที่เต็มวงเงิน และสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุสาเหตุที่ทำให้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น อาจจะไม่ใช่ปัญหาที่บั่นทอนเศรษฐกิจ
เพราะจากผลการสำรวจชี้ว่าส่วนใหญ่กู้เพื่อนำไปลงทุน ประกอบอาชีพ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ซื้อสินทรัพย์คงทน อาทิ บ้าน และรถ
แต่หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นนี้ ส่งผลทางจิตวิทยาด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
สำหรับหนี้สินส่วนใหญ่คือ หนี้บัตรเครดิต รองลงมาคือ หนี้ซื้อยานพาหนะ หนี้ส่วนบุคคลเพื่อการอุปโภคบริโภค หนี้ที่อยู่อาศัย หนี้เพื่อการประกอบธุรกิจ และหนี้การศึกษา
ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วน เพื่อผลักให้เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้น คาดว่าหากจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต ล็อตแรกจำนวน 1.4 แสนล้านบาท ให้กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน ภายในวันที่ 20 ก.ย.นี้ จะทำให้มีเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ 2 รอบ
ส่งผลให้จีดีพีไตรมาส 4 โต 3.5-4% และทำให้จีดีพีทั้งปีโตเพิ่มจาก 2.5% เป็น 2.8% ได้ เพราะมั่นใจว่ากลุ่มนี้จะใช้จ่ายทันที
นายธนวรรธน์กล่าวว่า หากรัฐบาลเร่งรัดโครงการดิจิทัลวอลเล็ตล็อต 2 และ 3 ในช่วงปลายปีและต้นปีหน้าตามลำดับ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เริ่มเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568
ช่วงเทศกาลปีใหม่ และตรุษจีนเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินจำนวนมากเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างต่อเนื่อง
อาจทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 เติบโตได้ 3.5-4% และสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในปีหน้าลดลงเหลือ 89% ได้
นอกจากนี้ แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่วางไว้ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน จะต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องและทำให้เกิดผลโดยเร็ว!!
เภรี กุลาธรรม