เป็นประเด็นตีคู่กันมาในเรื่องการปรับ ครม. กับการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน
ประเด็นแรก ตัดจบโดยผู้มีอำนาจหนึ่งเดียวในการปรับ ครม. คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ตัวจริง ที่ยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ปรับ”
ทั้งยังระบุถึงกระแสข่าวที่ออกมา สร้างความสั่นคลอนให้คณะรัฐมนตรีโดยไม่จำเป็น ยืนยันไม่ได้จะปรับ ถ้าจะปรับจริงต้องมีการพูดคุยกันในเนื้องาน
ตอนนี้ยังอยากให้การทำงานต่อเนื่อง ตนเองเพิ่งมาเป็นนายกฯ ได้ไม่นาน รัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นมาก็ยังเป็นได้ไม่นานเหมือนกัน
ดังนั้น ต้องอาศัยความต่อเนื่องของการทำงาน และจำเป็นมากที่ทุกกระทรวงจะต้องรู้สึกว่าเราปลอดภัย แข็งแรง และการจะปรับ ครม.หรือไม่ ตนเองจะเป็นคนบอก คนอื่นตอบนั้น ไม่ใช่คำตอบ
ส่วนกระแสข่าวการสลับเก้าอี้รัฐมนตรีหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดึงผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม กลับมาเป็นรัฐมนตรี
“ได้ฟังข่าวเช่นกัน ก็มาเป็นมหากาพย์เหมือนกัน แต่ไม่มีอะไรที่ตรงกับสิ่งที่คิดเลยแม้แต่นิดเดียว” นายกฯ แพทองธารกล่าว
ถือว่าเคลียร์คัตชัดเจนในเรื่องกระแสข่าวปรับ ครม. เช่นเดียวกับจังหวะการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน นำโดยพรรคประชาชน
ได้ข้อสรุปร่วมกันคือ จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 27 ก.พ. นั่นหมายความว่าการอภิปรายจะมีขึ้นได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมี.ค.เป็นต้นไป
ส่วนจำนวนวันอภิปราย ประธานวิป ฝ่ายค้านจะไปประสานข้อตกลงกับฝ่ายรัฐบาล เบื้องต้นฝ่ายค้านต้องการใช้เวลาอภิปราย 5 วัน
รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินขาดประสิทธิภาพ ปล่อยปละละเลยปัญหาสังคมในหลายเรื่อง ส่อเค้ามีผลประโยชน์ทับซ้อน การบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมาธิบาลของระบอบประชาธิปไตย
คือกรอบหัวข้อกว้างๆที่ฝ่ายค้าน จะซักฟอกรัฐบาลรวมถึงเรื่องเกี่ยวกับ “ทักษิณ ชินวัตร”ที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ยอมรับว่า เป็นส่วนหนึ่งในการอภิปรายครั้งนี้
หากจะว่าไปแล้วศึกซักฟอกที่กำลังจะมีขึ้น ถือเป็นครั้งแรกทั้งของนายกฯ แพทองธาร และหัวหน้าเท้ง ณัฐพงษ์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน
ที่เหมือนกันอีกอย่างก็คือ ศึกครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ถึงความเป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไปพร้อมกันอีกด้วย
มันฯ มือเสือ