แอปเปิ้ล แอร์พ็อดส์ โปรหูฟังไร้สาย ดีสุดของไอโอเอส
แอปเปิ้ล แอร์พ็อดส์ โปร – แอร์พ็อดส์ (AirPods) ถือเป็นหูฟังไร้สายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกขณะนี้จากค่ายแอปเปิ้ล ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังแอปเปิ้ลเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์เผ็ดร้อนจากแวดวงไอทีด้วยการนำพอร์ตหูฟังมินิ–สเตอริโอขนาด 3.5 มิลลิเมตร หรือที่เรียกกันว่า มินิแจ๊ก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันมาตั้งแต่ช่วงปี 2513 ออกไปจากไอโฟน 7 เมื่อปี 2559
การมาถึงของ แอร์พ็อดส์ โปร (AirPods Pro) หูฟังไร้สายระดับพรีเมียมจากแอปเปิ้ล เป็นสิ่งที่สะท้อนชัดเจนถึงทิศทางของเทคโนโลยีหูฟังและการตอบรับจากผู้บริโภคที่แม้แต่บรรดาผู้ไม่เห็นด้วยก็ยากจะปฏิเสธ
เอ็นแก๊ดเก็ต (engadget) เว็บไซต์ชื่อดังในแวดวงไอที ทดสอบหูฟังชื่อดังรุ่นใหม่นี้ ระบุว่า แอร์พ็อดส์ โปร เป็นหูฟังไร้สายที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่แอปเปิ้ลเคยผลิตออกมา
แต่แน่นอนว่ามีราคาสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาด้วย !!
หูฟังยอดนิยมนี้สนนราคาที่ 247 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 7,500 บาทขึ้นไป แลกกับเทคโนโลยีที่ทางแอปเปิ้ลติดตั้งเพิ่มเข้ามา อาทิ ระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก (Active Noise Cancellation หรือ ANC) ระบบฟังเสียงจากภายนอกโดยไม่ต้องถอดหูฟังออก (transparency mode) ฟังก์ชันการควบคุมที่หูฟังโดยตรง และจุกซิลิโคนนุ่มเพื่อให้การสวมใส่กระชับกับช่องหูของผู้ใช้มากขึ้น
หูฟังไร้สายหนึ่งเดียวที่เป็นคู่แข่งและได้รับความชื่นชมจากบรรดานักรีวิว ว่าเอาชนะแอร์พ็อดส์ โปร ได้ มีเพียง “ดับเบิลยูเอฟ-1000เอ็กซ์เอ็ม3” (WF-1000XM3) จากค่ายโซนี่ ประเทศญี่ปุ่น
ชื่อรุ่นจำยากมาก แต่ที่รู้ๆ คือ มีคุณภาพเสียงที่สูง และเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนภายนอกระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมที่ดีกว่า ด้วยราคาสูงเช่นกัน (8,990 บาท) และเชื่อมต่อกับ “สิริ” ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ของแอปเปิ้ลไม่ได้ ซึ่งเป็นจุดแข็งของ แอร์พ็อดส์ โปร
สิ่งแรกที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับ แอร์พ็อดส์ โปร คือรูปลักษณ์ภายนอก โดยทางแอปเปิ้ลเพิ่มจุกยางซิลิโคนมาที่บริเวณปลายหูฟังที่เสียบเข้าไปในช่องหู ส่งผลให้ผู้ใช้สวมใส่ได้รู้สึกสบายและกระชับมากขึ้น และทำให้สามารถสกัดกั้นเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีขึ้นอีกด้วย
ขณะที่ลำตัวของเครื่องก็มีลักษณะเป็นวงรีกว่ารุ่นก่อนที่ค่อนไปทางทรงกลม โดยก้านที่ชี้ยาวออกมาจากตัวเครื่องยังอยู่ในรุ่นโปรแต่สั้นลงกว่าแต่ก่อน ภายในบรรจุ “ฟอร์ซ เซ็นเซอร์” ซึ่งเป็นตัวตรวจจับการควบคุมหูฟัง ส่งผลให้ดีไซน์โดยรวมแล้วทำให้แอร์พ็อดส์ โปร แลดูไม่เตะตามากเกินไปเท่ากับรุ่นก่อน ซึ่งเป็นสิ่ง ที่ดี
แอร์พ็อดส์ โปร ยังออกแบบมาให้สวมใส่ขณะออกกำลังกายภายในยิมได้ดีกว่ารุ่นก่อน เพราะผ่านมาตรฐาน IPX4 หมายความว่า กันน้ำเข้าเครื่องจากการสาดกระเด็นได้ทุกทิศทาง นอกจากนี้ เคสสำหรับเก็บและชาร์จหูฟังยังออกแบบใหม่ด้วย โดยมีรูปร่างที่ใหญ่และแบนกว่าเดิม ไม่เหมือนกับรุ่นก่อนที่มักถูกล้อเลียนว่าเหมือนตลับไหมขัดฟัน แต่การออกแบบใหม่นั้นไม่ได้ทำให้ สูญเสียความสะดวกในการพกพาและเก็บใส่กระเป๋าช่องเล็กๆ ไป
การเชื่อมต่อทำได้รวดเร็วผ่านระบบ Quick pairing เช่นเดิม โดยเมื่อผู้ใช้เปิดฝากล่องเก็บหูฟัง แอร์พ็อดส์ โปร ก็จะเชื่อมต่อกับเครื่องไอโฟนโดยอัตโนมัติทันที ไม่ต้องมานั่งเปิดเมนูเพื่อเปิดสัญญาณบลูทูธ ส่วนผู้ที่มีไอแพ็ด และแม็คบุ๊กก็หายห่วง เพราะข้อมูลนั้นถูกบรรจุไว้ในไอคลาวด์แล้ว หูฟังคู่นี้จะพร้อมใช้งานกับอุปกรณ์อื่นทันที เป็นระบบที่ไม่มีในฝั่งแอนดรอยด์ ถือว่าสะดวกมากๆ
ระบบตัดเสียงรบกวนภายนอกของ แอร์พ็อดส์ โปร ทำงานผ่านไมโครโฟนซึ่งได้รับการติดตั้งมาข้างละ 2 จุด โดยตำแหน่งแรกอยู่ที่ด้านนอกของหูฟังเพื่อทำหน้าที่ตรวจจับเสียงจากภายนอก ส่วนอีกตำแหน่งนั้นอยู่ด้านในเพื่อตรวจจับเสียงที่เล็ดลอดเข้ามา นำไปประมวลผลรวมกันเพื่อตัดทิ้ง
แอปเปิ้ลระบุว่า การตรวจจับและปรับจูนเพื่อตัดเสียงนั้นเกิดขึ้นถึง 200 ครั้งต่อวินาที ทั้งยังมีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ กว่าค่ายอื่นๆ เพราะเป็นรุ่นแรกของโลกที่ใช้หน่วยประมวลผลเสียง รุ่น H1 ที่มีแกนประมวลผลมากถึง 10 คอร์ เพื่อปรับจูนเสียงจากสภาพแวดล้อมที่เข้ามาแบบเรียลไทม์แม้ไม่ได้เล่นเพลงก็ตาม
เมื่อผู้ใช้เริ่มใช้งาน แอร์พ็อดส์ โปร ครั้งแรก จะพบกับ Ear Tip Fit Test เป็นขั้นตอนสั้นๆ ที่ทางแอปเปิ้ลสร้างมาเพื่อทดสอบว่าจุกซิลิโคนที่ผู้ใช้อยู่นั้นมีขนาดเหมาะสมกับช่องหูหรือไม่ ผ่านเพลง Awake ของ Tycho จากนั้นระบบปฏิบัติการ iOS13 จะสรุปว่าเหมาะสมหรือไม่ ขณะที่จุกซิลิโคนที่แอปเปิ้ลแถมมาให้นั้นด้านในเป็นล็อกพลาสติกทำให้การสลับสับเปลี่ยนนั้นสะดวกมากกว่าค่ายอื่น
บิลลี สตีลลี ผู้ทดสอบ แอร์พ็อดส์ โปร จากเอ็นแก๊ดเก็ต ระบุว่า ระบบตัดเสียงรบกวนภายนอกนั้นทำให้เสียงที่ฟังผ่านหูฟังรุ่นนี้ดีขึ้นกว่าแอร์พ็อดส์รุ่นก่อนซึ่งไม่ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีชนิดนี้มาก แม้ระบบดังกล่าวไม่ได้สมบูรณ์แบบถึงขั้นที่จะสามารถตัดเสียงรบกวนจากรอบข้างได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม เสียงอาทิ การสนทนาของผู้คนในร้านกาแฟ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ที่กำลังชมโทรทัศน์ ไปจนถึงเสียงเครื่องจักรนั้นลดลงจนกลายเป็นเสียงฮัมเบาๆ ระหว่างฟังเพลงที่ความดังระดับ 25/100 ถือว่ายอดเยี่ยม
ถ้าอ่านตามนี้ มองได้ว่า ระบบตัดเสียงรบกวนภายนอกในหูฟังนั้นเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ เนื่องจากเมื่อเสียงรบกวนลดลงก็จะทำให้ผู้ใช้สามารถลดระดับเสียงที่ใช้ในการฟังผ่านหูฟังลงได้ ไม่ต้องเพิ่มระดับเสียงให้ดังแข่งกับเสียงรบกวนภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างยิ่งในระยะยาว เพราะจะทำให้ความสามารถในการรับฟังของหูเสื่อมลงเร็วกว่าปกติ ผู้ใช้ควรคำนึงถึงจุดนี้ด้วยเวลาใช้หูฟัง
นอกจากระบบตัดเสียงรบกวนภายนอกแล้ว ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนการทำงานของระบบไปเป็น transparency mode หรือปิดการทำงานทั้งสองรูปแบบ ทำให้แอร์พ็อดส์ โปร กลายเป็นหูฟังปกติ โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนได้ด้วยการใช้นิ้วแตะค้างไว้ที่ก้านที่ยื่นออกมาของหูฟังข้างใดข้างหนึ่ง
เมื่อรูปแบบการใช้งานถูกเปลี่ยนก็จะมีเสียงของระบบที่บอกให้รับทราบ ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งลำดับการเปลี่ยนไปจนถึงว่าจะให้รูปแบบใดอยู่หรือไม่อยู่ในลำดับการเปลี่ยนหรือไม่ก็ได้ ส่วนถ้าผู้ใช้ถอดหูฟังออกข้างหนึ่งข้างใด หูฟังจะหยุดการทำงานชั่วคราว และเริ่มทำงานต่อเมื่อใส่กลับเข้าไปในช่องหู
อย่างไรก็ดี สตีลลีมองว่า แม้การตอบสนองการควบคุมของแอร์พ็อดส์ โปรนั้นจะมีความไวและทำงานได้ดีเยี่ยม แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องแตะให้ถูกตำแหน่งบนก้านของหูฟังด้วย ส่งผลให้ผู้ใช้อาจรู้สึกไม่สะดวกในการใช้งานช่วงแรก เพราะการแตะให้ถูกที่นั้นจำเป็นต้องอาศัยความเคยชินจากการใช้ระยะหนึ่ง
อีกหนึ่งจุด คือตัวเลือกปรับแต่งการควบคุมของแอร์พ็อดส์ โปรนั้น ฝังลึกอยู่ในเมนู Bluetooth หมายความว่าผู้ใช้บน iOS13 จะต้องเลือก Settings > Bluetooth > เลือก “i” ที่ข้างๆ ภาพแอร์พ็อดส์ โปร นั้นเป็นการแตะที่หลายครั้งเกินไป แม้จะไม่ได้มากไปกว่าคู่แข่ง แต่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการเชื่อมต่อกันในระดับที่ลึกซึ้งโดยเฉพาะกับไอโฟน จึงน่าจะทำได้สะดวกกว่านี้
ด้านการควบคุมอื่นๆ ได้แก่ แตะหนึ่งครั้งเพื่อเล่นและหยุด หรือรับ–วางสาย แตะสองครั้งเพื่อข้ามเพลง แตะสามครั้งเพื่อ ย้อนกลับ ส่วนแตะค้างไว้นั้นจะเป็นการเรียกสิริ หรือเปลี่ยนรูปแบบการทำงานไปมาระหว่าง ANC, Transparency และ ปิดระบบ ขณะที่การเพิ่ม–ลดระดับเสียงต้องทำบนไอโฟนเท่านั้น
คุณภาพเสียงจากแอร์พ็อดส์ โปร นั้นดีกว่าแอร์พ็อดส์อย่างรู้สึกได้ ผ่านเทคโนโลยี Adaptive EQ ที่ทำหน้าที่ปรับเสียงให้เข้ากับประสิทธิภาพการฟังในหูของผู้ใช้แต่ละคน พร้อมแอมพลิไฟเออร์ภายในที่ช่วยให้เสียงมีความคมชัดมากขึ้น เครื่องดนตรีไม่ว่าจะสี ตี เป่า สามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจน เวทีเสียงและมิติแนวลึกอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่ย่านเสียงต่ำนั้น มีเบสลูกเล็กๆ แนวเสียงเรียบร้อยไม่จัดจ้าน เหมาะกับการฟังนานๆ ไม่ทำให้รู้สึกเมื่อยหูง่าย รวมไปถึงการสวมใส่ก็ทำได้นานเช่นกัน
ขณะที่แบตเตอรี่นั้นอยู่ที่ประมาณ 5 ชั่วโมง หากเปิดระบบตัดเสียงจะลดลงเหลือราว 3-4 ช.ม. ส่วนกล่องเก็บหูฟังนั้นมีพลังงานมากพอที่จะชาร์จและทำให้หูฟังใช้งานได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมง
สตีลลี่มองว่า แอร์พ็อดส์ โปร เป็นหูฟังไร้สายแบบอินเอียร์ ที่มีราคาอยู่ในระดับตลาดพรีเมียม มีเพียง WF-1000XM3 ของโซนี่เท่านั้นที่เฉือนชนะไปด้วยศักยภาพ ตัดเสียงที่ทรงพลังกว่า คุณภาพเสียงที่เหนือกว่า และระยะเวลาการใช้งานที่มากกว่า ทว่า แอร์พ็อดส์ โปรนั้นมีขนาดที่พกพาสะดวกและสวมใส่สบายกว่า รวมทั้งมีความสามารถในการเชื่อมต่อกับสิริ แต่หากนำมาใช้กับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิ้ลก็จะสูญเสียความสามารถจุดนี้ไป
แอร์พ็อดส์ โปร จึงเป็นหูฟังไร้สายที่ดีที่สุดของทางด้านฝั่งไอโอเอส