ส่งตัวกลับไทย
ดำเนินคดีใหม่

ตร.ประสานอินเตอร์โพล จับตัว ‘บอส กระทิงแดง’ กลับไทยดำเนินคดีตามหมายจับใหม่ 3 ข้อหา รองโฆษกอัยการสูงสุดแจง เพิกถอนหมายจับเดิม ขอหมายจับใหม่เป็นไปตามกฎหมายหากพบหลักฐานใหม่ แต่ละข้อหามีอายุความต่างกัน คดีเสพโคเคนหมดอายุความปี 2565 รถชนหมด ปี 2570 ส่วนไม่ช่วยเหลือด.ต.วิเชียร หลังขับรถชนจนเสียชีวิต หมดอายุความไปแล้ว ตั้งแต่ 2560 ด้าน ‘วิชา มหาคุณ’ เตรียมส่งรายงานสอบข้อเท็จจริงให้นายกฯ จันทร์หน้า ระบุชื่อองค์กร-ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ชี้ไม่ผิดกฎหมาย แต่ฟันด้านจริยธรรมได้ ตามรัฐธรรมนูญปี60

ถกตร.สากลจับตัวบอส

จากกรณี ศาลอาญากรุงเทพใต้อาญาอนุมัติออกหมายจับ นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส 3 ข้อหา ในคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2555 ประกอบด้วย 1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายมีผู้ถึงแก่ความตาย 2.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในทันที และ 3.ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 (โคเคน) มีอายุความ 15 ปี โดยร.ต.อ.ภิชาภัช ศรีคำขวัญ รองสารวัตร (สอบสวน) สน.ทองหล่อ ได้ยื่นขออนุญาตศาล เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. รายงานข่าวระบุว่า พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ กำลังทำเรื่องประสานไปยังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อประสานกับตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ดำเนินการติดตามจับกุม พร้อมประสานไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เพื่อตรวจสอบการเดินทางเข้าออกประเทศของนายวรยุทธ โดยขณะนี้สอบปากคำพยานไปแล้ว 5 ปาก ทั้งบุคคลที่ให้ความเห็นเรื่องการคำนวณความเร็วรถยนต์ที่นายวรยุทธ ขับชนดาบตำรวจเสียชีวิต และเจ้าหน้าที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

ส่วนหลักฐานที่นำไปสู่การขอศาลออกหมายจับในข้อหาเสพโคเคนนั้น มีพยานหลักฐานที่พบว่าเป็นการเสพโคเคนเข้าไปโดยตรง ไม่ได้เกิดจากการรับประทานอาหารหรือยา หรือสารที่ใช้ทำทันตกรรมตามที่นายวรยุทธอ้าง จนเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีคนเดิมไม่แจ้งข้อหาดังกล่าว

คดีเสพ-ขับยังมีอายุความ

ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องมีการเพิกถอนหมายจับเดิมและออกหมายจับใหม่ เนื่องจากเป็นไปตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ว่า เมื่อมีคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันนั้นอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่ฯ ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ส่วนการนับอายุความในแต่ละข้อหา ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุคือในปี 2555 จึงทำให้แต่ละข้อหาตามที่ออกหมายจับใหม่มีอายุความไม่เท่ากัน โดยคดีเสพยาเสพติด จะหมดอายุความในปี 2565 ส่วนคดีขับรถโดยประมาท หมดอายุความในปี 2570 ส่วนคดีไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ มีอายุความเพียง 5 ปี จึงหมดอายุความไปแล้ว

ส่วนขั้นตอนต่อไปหลังจากที่ตำรวจทำสำนวนคดีที่สั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมเสร็จสิ้นแล้ว นายประยุทธกล่าวว่า อัยการจะเร่งนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะทำงานทันที

ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ให้สัมภาษณ์ถึงหมายจับ นายวรยุทธ หรือบอส ว่ายังมีอยู่หรือไม่ว่า สน.ทองหล่อได้ทำหนังสือถอดถอนมาว่ายังไม่ต้องการตัว แต่เพื่อความแน่ใจ สตม. จึงได้ทำหนังสือสอบถามไปยังศาลว่าหมายจับยังมีผลอยู่หรือไม่ ซึ่งศาลตอบกลับมาว่ายังมีผลอยู่ จึงได้สั่งการลงไปว่า ถ้านายบอสกลับเข้ามาในไทยต้องจับกุมตามหมายจับ เพราะหมายนั้นสมบูรณ์ และถ้าศาลอนุมัติหมายจับข้อหาเพิ่มเติม หรือทางพนักงานสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวข้องแจ้งมาทางเราก็จับและแจ้งข้อหาเพิ่มเติม ซึ่งมีหมายจับเก่าอยู่แล้วไม่ ต้องห่วง

บช.น.พร้อมส่งสำนวน

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. กล่าวว่า กรณีหมายจับ 3 ข้อหา พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานแล้วส่งให้พนักงานอัยการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เมื่อถามว่าข้อหาไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลืออายุความ 5 ปี อายุความหมดไปแล้วหรือไม่ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวว่า เป็นการแก้ไขหมายจับเดิม ซึ่งศาลยังไม่ได้พิจารณา หลังจากดำเนินการจะพิจารณาในส่วนนี้ต่อไปว่าหมดอายุความหรือไม่หมด เมื่อถามว่าวันที่ 28 ส.ค.นี้ทางพนักงานอัยการให้ส่งสำนวน ทาง บช.น.พร้อมส่งแล้วหรือไม่ พล.ต.ท.ภัคพงศ์กล่าวว่า ทางพนักงานสอบสวนพร้อมแล้ว โดยได้รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมส่งให้พนักงานอัยการพิจารณา

โฆษกศาลรับผิดปมหมายจับ

นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงการออกหมายจับใหม่ นายวรยุทธ หรือบอส ว่า เดิมเมื่อวันที่ 28 เม.ย.2560 ตำรวจ สน.ทองหล่อ ขอศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับนายวรยุทธ ใน 2 ข้อหา คือขับรถประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที ต่อมาหลังอัยการสั่งให้ตำรวจไปสอบสวนพยานหลักฐานใหม่ เพื่อนำไปประกอบการสั่งคดี ตำรวจจึงไปยื่นขอศาลออกหมายจับใหม่ โดยเป็นการใช้ข้อหาตามหมายจับเดิม แต่เพิ่มข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคอีน) โดยผิดกฎหมาย อีก 1 ข้อหา ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้ว ก็อนุญาตให้เพิกถอนหมายจับเดิมเมื่อปี 2560 และให้ใช้หมายจับใหม่ที่มี 3 ข้อหาดังกล่าวได้

“การให้ข้อมูลไปว่ามี 2 ข้อหา ยอมรับว่าเกิดจากความผิดพลาดทางธุรการ ซึ่งการออกหมายจับ เป็นการขอผ่านทางเอกสาร ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบทางระบบได้ ต้องไปตรวจที่ตัวเอกสารโดยตรง จึงเกิดความคลาดเคลื่อนทางข้อมูลขึ้น ทั้งนี้ ยืนยันว่าแม้บางข้อหาที่สังคมสงสัยว่าจะหมดอายุความไปแล้วนั้น ก็ไม่มีผลกระทบกับการใช้หมายจับดำเนินคดี ซึ่งตำรวจพิจารณาฟ้องเอาผิดเฉพาะข้อหาที่ยังไม่ขาดอายุความได้” นายสุริยัณห์กล่าว

ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า เหตุที่ศาลออกหมายจับ 3 ข้อหา เนื่องจากในชั้นนี้ยังไม่ถึงขั้น ต้องวินิจฉัยในข้อเท็จจริงว่าข้อหาที่ขอออกหมายจับขาดอายุความหรือไม่ และเป็นไปได้ว่าเหตุผลที่ขอออกทั้ง 3 ข้อหา ก็เพื่อป้องกันข้อครหาว่าช่วยเหลือผู้ต้องหาทางคดีในภายหลัง

กมธ.สภายุติสอบคดีบอส

ที่รัฐสภา มีการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ประธานกมธ. เป็นประธานการประชุม ซึ่งเป็นการพิจารณากรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือบอส ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากมีการออกหมายจับนายวรยุทธแล้ว จึงสมควรหยุดการตรวจสอบในกรณีดังกล่าว โดยให้รอผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสตรวจสอบข้อเท็จจริง และผลการตรวจสอบของอัยการและตำรวจ ต่อไป

มูลนิธิเมาไม่ขับยื่นข้อมูลเพิ่ม

ที่สำนักงานกฤษฎีกา นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ยื่นหนังสือเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม ประเด็นปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด คดีนายวรยุทธ ส่วนที่เกี่ยวกับกรณีเมาแล้วขับถึง นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

30 ส.ค.ส่งผลสอบให้นายกฯ

นายวิชากล่าวว่า ตนต้องขอดูข้อมูลและตรวจสอบ โดยเฉพาะเรื่องอายุความ เพราะคดีเมาแล้วขับมีอายุความ 15 ปี จึงต้องขอตรวจสอบให้ชัดเจน ซึ่งการรื้อฟื้นคดีในบางข้อกล่าวหาที่ถือว่ามีความไม่เป็นธรรมและทำให้กลายเป็นตัวอย่างที่ไม่มีกับการทำคดีต่อไปในอนาคต การรือฟื้นคดีในส่วนนี้อย่างน้อยจะเป็นประโยชน์ว่าการพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญ น่าจะมีความเชี่ยวชาญหรือมีความรู้หรือมีความคิดที่ทำให้เมาแล้วขับรถน้อยลง และจากนี้อาจต้องเชิญนพ.แท้จริงมาให้ข้อมูล สำหรับการประชุมข้อสรุปทั้งหมดที่มีการสอบพยานในคดีนายวรยุทธไปทั้งหมดแล้ว

ด้านนายมุนินทร์ พงศาปาน คณบดีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในฐานะกรรมการ กล่าวว่า การประชุมวันนี้เป็นการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นที่เกิดข้อพิรุธของคดีทั้งหมด คาดว่าจะสรุปภาพรวมส่งให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาทันภายใน 30 ส.ค.นี้

รายงานระบุชื่อคนเกี่ยวข้อง

นายวิชากล่าวว่า วันนี้ได้หารือกันเพื่อทำรายงานเสนอให้นายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 3 โดยจะทำโครงสร้างและรวบรวมเพื่อนำไปสู่การทำรายงานฉบับใหญ่เพราะครบกำหนด 30 วัน โดยยื่นในวันจันทร์หน้า ซึ่งบางประเด็นอาจยังไม่สมบูรณ์ เพราะเวลา 30 วันที่ทำหน้าที่มาถือว่าน้อยมาก ทำงานกันทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หยุด

“การจัดทำข้อสรุปเรื่องนี้ เมื่อเราส่งให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ขึ้นอยู่กับท่านพิจารณาว่าจะเผยแพร่หรือไม่ ผมคงไม่ทำอะไรล่วงละเมิดอำนาจนายกฯ” นายวิชากล่าว

นายวิชากล่าวด้วยว่า การจัดทำข้อสรุปคดีนี้ เราเพียงแต่ทำให้เห็นภาพว่าข้อบกพร่องขององค์กรเป็นอย่างไร ส่วนจะรับผิดชอบแค่ไหนเพียงไรต้องไปดูรายละเอียด เพราะเราพูดกันมากว่า ถึงไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดระเบียบ ก็อาจจะผิดจริยธรรม ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็บอกว่าหากผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงก็จะถูกดำเนินการเหมือนกัน เมื่อถามย้ำว่าในรายงานที่จะส่งถึงนายกรัฐมนตรี จะระบุชื่อบุคคลชัดเจนหรือไม่ นายวิชา ตอบว่า “มีทั้งบุคคล มีทั้งคนที่เกี่ยวข้อง”

เมื่อถามย้ำอีกว่า เท่าที่ดูข้อเท็จจริงคดีนี้บุคคลที่เข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรงเป็นฝ่ายอัยการหรือตำรวจ นายวิชา ตอบว่า “อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลย เพราะยังไม่ได้ลงมติกันเรื่องนี้”

นายวิชา กล่าวถึงหลังจากคณะกรรมการตรวจสอบตำรวจเชิญ พล.ต.ต.วรวัฒน์ อมรวิวัฒน์ ผบก.กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาชี้แจงเรื่องการถอนหมายแดงจากตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) ว่า ทางด้านต่างประเทศแสดงให้เห็นเลยว่า พอเขาแจ้งมาว่าให้ถอนหมายจับ ท่านก็ได้ติดต่อเพื่อขอให้ถอนหมายแดงจากอินเตอร์โพล จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่มีหมายแดงแล้ว มีแต่หมายจับของไทย

ส่วนการเชิญ พ.ต.อ.รณชัย รอดลอย ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ มาชี้แจงเรื่องการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง พยานคนสำคัญในคดีนี้ นายวิชากล่าวว่า อยู่ระหว่างการสอบรายละเอียดรวมถึงสอบเส้นทางการเงินด้วย เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการประสานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินบุคคลที่เกี่ยวข้อง นายวิชากล่าวว่า เราประสานไปเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และปปง.

ทนายดังเห็นต่างปมหมายจับ

ด้านดร.สุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความชื่อดัง ได้ให้ความเห็นว่า คดีนี้พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ได้ออกหมายจับ นายวรยุทธ หรือนายบอส ในคดีเดิมที่ยังไม่ได้ถอนหมายจับ โดยขอให้ศาลแก้ไขเพิ่มเติมในหมายจับและเพิ่มอีกข้อหาว่าเสพโคเคนนั้น ไม่มีกฎหมายรองรับให้ตำรวจทำได้ เพราะคดีเก่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีเสร็จขาดไปแล้ว ส่วนหมายจับเดิมย่อมถูกเพิ่งถอนไปโดยผลของกฎหมาย และไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้ว่า เมื่อพนักงานอัยการหรือตำรวจ มีคำสั่งไม่ฟ้อง ไปแล้วจะกลับมาเปลี่ยนแปลงความเห็นเดิมเป็น คำสั่งฟ้องอีก เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกา 1821/2557

ส่วนประเด็นการเสพโคเคน ดร.สุกิจกล่าวว่า เมื่อพยานหลักฐานในสำนวนปรากฏความได้ว่า เป็นเพียงสารที่เกิดจากกระบวนการสลายตัว (Metabolite) ที่ตรวจเลือดเพียงครั้งเดียว และไม่ใช่เกิดจากการได้รับสารโคเคนเข้าสู่ร่างกายโดยตรง และแม้จะพบสารโคเคนในร่างกายของนายวรยุทธขณะขับขี่ การกระทำนั้นย่อมไม่เป็นความผิดฐานขับขี่เสพโคเคนตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2558 อยู่ดี โดยความผิดฐานเสพยาเสพติด ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ไว้เป็นแนวทางว่า ตำรวจจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาที่5377/2562 ดังนั้น เมื่อผู้ต้องหาให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ตำรวจจะตั้งข้อหานี้ได้ ต้องมีประจักษ์พยานรู้เห็น หรือมีพยานหลักฐานเกี่ยวกับอุปกรณ์การเสพ ที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้ต้องหาได้จำนนด้วยหลักฐานปรากฏในสำนวนจริงเท่านั้น ซึ่งเทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8481/2544

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน