ยกฟ้องทบ.ยิงหนุ่มลาหู่ – เป็นอีก 1 คดีที่องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรณีฆาตกรรม นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ วัย 17 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิต คาด่านตรวจบ้านรินหลวง จ.เชียงใหม่ เมื่อ 3 ปีก่อน
โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็นเพราะนายชัยภูมิต่อสู้ขัดขืนการตรวจค้นยาเสพติด
มีการชักมีด และเตรียมระเบิดจะขว้างใส่ จึงต้องใช้เอ็ม 16 ยิงใส่จนตาย
กลายเป็นข้อสงสัยเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวขัดกับรูปภาพก่อนที่จะเกิดเหตุยิง ที่นายชัยภูมิเองก็ให้ความร่วมมือในการตรวจค้น
แถมเหตุการณ์ยังคล้ายกรณีที่ทหารยิงนายอาเบ แซ่หมู่ ที่จุดเดียวกัน และอ้างว่าเตรียมขว้างระเบิดใส่เหมือนกัน
ที่สำคัญหลังเกิดเหตุมีเพียงผบ.ทบ. และแม่ทัพภาค 3 ในขณะนั้นที่ได้เห็นภาพจากวงจรปิด
เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลวงจรปิดกลับอันตรธาน โดยไม่ทราบสาเหตุ
และสร้างความงุนงงอีกครั้ง เมื่อศาลแพ่งที่พิพากษายกฟ้องในคดีละเมิดระบุว่าไม่เคยมีการบันทึกวงจรปิดในเหตุการณ์มาก่อน
กลายเป็นคำถามว่าแล้วที่ฝ่ายบิ๊กทหารระบุว่าได้ดูเหตุการณ์ทั้งหมดหมายความว่าอย่างไร
ใครกันแน่ที่พูดไม่ตรง
ยกฟ้องทหาร-เชื่อ‘ชัยภูมิ’ค้ายา
วันที่ 26 ต.ค. ที่ห้องพิจารณา 503 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ พ2591/2562 ที่นางนาปอย ป่าแส มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมเยาวชนชาติพันธุ์ลาหู่ เป็นโจทก์ฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลยให้ชดใช้ทางละเมิด
กรณีเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองทัพบกวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิที่บริเวณด่านบ้านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560 ซึ่งนายชัยภูมิกับเพื่อน 1 คนขับรถยนต์ผ่านด่านตรวจบ้านรินหลวง ถูกเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำอยู่ที่ด่านตรวจค้นยานพาหนะใช้อาวุธปืนยิงนายชัยภูมิจนเสียชีวิต โดยระบุกระทำไปเพื่อป้องกันตนเอง
โดยศาลอ่านคำพิพากษา พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหาร 3 นายเป็นผู้ได้รับมอบหมายปฏิบัติหน้าที่ ก่อเหตุยิงนายชัยภูมิ ผู้ตายเสียชีวิต
ขณะที่พลทหารพยานจำเลยเบิกความขณะเกิดเหตุตรวจค้นรถยนต์ผู้ตาย เปิดฝาหม้อไส้กรองอากาศพบยาบ้า 2,800 เม็ด นอกจากนี้ ยังสอบสวนพยานจำเลยซึ่งเป็นเพื่อนนายชัยภูมิให้การว่า มีความสงสัยเรื่องเงินที่นำมาซื้อรถยนต์ของนายชัยภูมิ ขณะตรวจค้นนายชัยภูมิไม่ยอมให้เปิดฝาหม้อไส้กรองอากาศ ทำให้พยานเชื่อว่านายชัยภูมิน่าจะรู้เรื่องยาเสพติด
พิเคราะห์ว่าแม้เป็นพยานบอกเล่า แต่เป็นพยานสำคัญที่เป็นเพื่อนนักเรียน ไม่มีเหตุระแวงสงสัย ให้การกับพนักงานสอบสวน เชื่อว่าให้การตามจริง
ส่วนพยานจำเลยที่เป็นเจ้าหน้าที่แจ้งพบบัญชีผู้ตายมีการเคลื่อนไหวเชื่อมโยงเรื่องยาเสพติด บันทึกการโทรศัพท์เกี่ยวกับ ผู้ต้องหาคดียาเสพติดอีกคดี มีการติดต่อกันหลายครั้ง
มีพยานหลักฐานฟังได้ว่าผู้ตายเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ซุกซ่อนในไส้กรองอากาศ
ส่วนประเด็นกล้องวงจรปิด พบมีกล้องวงจรปิดหลายตัวใช้งานได้ 9 ตัว เสีย 3 ตัว ไม่พบพิรุธการทำลายกล้องวงจรปิด แต่ไม่พบภาพบันทึกเหตุการณ์ ไม่พบมีการลบ และไม่พบจุดที่ตรวจค้น
จำเลยมีทหารเป็นประจักษ์พยาน กับนายพงศนัย แสงตะหล้า เพื่อนผู้ตาย ทำให้รับฟังทดแทนได้ว่าผู้ตายรู้เห็นการซุกซ่อนยาเสพติด จึงต่อสู้หยิบมีดแล้วหลบหนี ทหารหยิบปืนเอ็ม-16 ยิงลงพื้นก่อน เมื่อวิ่งไล่ตามผู้ตายจะขว้างระเบิดใส่ ทหารจึงใช้เอ็ม-16 ยิงแขนซ้ายผู้ตาย
ขณะที่พยานโจทก์เป็นพยานบอกเล่าอยู่ห่างจุดเกิดเหตุ
พิจารณาจุดเกิดเหตุแล้วเป็นพื้นที่โล่ง เวลากลางวัน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการจัดฉากวางระเบิดใกล้มือผู้ตาย มีชาวบ้านเห็นนับร้อย การยิงแขนผู้ตายเพื่อหยุดการกระทำ ประจักษ์พยานไม่พบพิรุธสงสัย
โจทก์ทำหน้าที่ติดตามคนร้ายหลบหนีการจับกุมเกี่ยวกับยาเสพติด ปฏิบัติหน้าที่ชายแดนพื้นที่เสี่ยงสูง อาจต้องใช้อาวุธในการต่อสู้ป้องกันและปะทะกับขบวนการค้ายาเสพติด ข้อเท็จจริงผู้ตายวิ่งหลบหนีและจะใช้ระเบิดขว้างใส่พลทหาร การที่พลทหารยิงผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ การปฏิบัติหน้าที่ของพลทหารไม่ละเมิดโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายกฟ้อง
ย้อนนาทีจับตายหนุ่มลาหู่
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายของวันที่ 17 มี.ค. โดยข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระบุว่าเมื่อเวลา 10.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารร้อย ม.2 บก. ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ประจำจุดตรวจบ้านรินหลวง ตั้งจุดตรวจยาเสพติดบริเวณด่านทหารสามแยกรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พร้อมเรียกรถเก๋งฮอนด้าแจ๊ซ สีดำ ทะเบียน ขก 3774 เชียงใหม่ เพื่อตรวจค้น
จนกระทั่งพบยาบ้า 2,800 เม็ดอยู่ในไส้กรองอากาศรถ จึงจับกุม นายพงศ์นัยซึ่งเป็นคนขับรถ โดยขณะนั้นนายชัยภูมิที่นั่งข้างคนขับชักมีดออกมา แล้ววิ่งหนีไปประมาณ 200-300 เมตร
เมื่อเจ้าหน้าที่วิ่งตามไปใกล้ถึงตัว ผู้ตายก็เงื้อระเบิดมือจะขว้างใส่ ทหารจึงยิงเอ็ม-16 เข้าใส่จนเสียชีวิต
หลังเหตุการณ์ทางญาติของนายชัยภูมิ ต่างพากันออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม เนื่องจากนายชัยภูมิซึ่งเป็นนักกิจกรรมทางสังคม และไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยา เสพติด
โดยพ.ต.อ.ชลเทพ ใหม่ไชย ผกก.สภ.นาหวาย ในขณะนั้นระบุว่า หลังจากเหตุจับตาย ผู้บังคับบัญชาของทหารที่เป็นคนยิงได้เข้ามอบตัวกับตร.สภ.ป่าหวายแล้ว ซึ่งได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือ ทำประวัติ แล้วปล่อยตัวชั่วคราว
ทั้งนี้ จากการสอบประวัติผู้ตาย ไม่พบเคยถูกจับกุมหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติดใดๆ
แต่พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ อดีตผบช.ภาค 5 ระบุว่านายชัยภูมิเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแน่นอน เคยถูกจนท.ล่อซื้อ โอนเงินมัดจำเสร็จสรรพ แต่พอนัดส่งยานายชัยภูมิหนีได้หวุดหวิด แถมยังโทรศัพท์ข่มขู่พยาน โดยตร.กำลังจะขอหมายจับแต่ก็ถูกทหารวิสามัญเสียก่อน
พร้อมระบุว่ารถแจ๊ซของนายชัยภูมิเป็นของเครือข่ายยาเสพติดที่กำลังหลบหนีคดี ทะเบียนที่ใช้ก็ของปลอม และพบเส้นทางการเงินเข้าออกมากผิดปกติ
แม้จะมีการชี้แจงว่าเงินที่เข้าออกนั้นเป็นเงินขายกาแฟ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ปักใจเชื่อ
ขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกเฝ้าจับตาดูมานาน 3 ปี จนกระทั่งมีบทสรุปจากศาลไทย
ตัดสินคนยิงไม่ผิด และชัยภูมิพัวพันการค้ายา!??
คาใจ-ศาลชี้ไม่เคยมีวงจรปิด
หลังฟังคำพิพากษา นางนาปอย มารดา ผู้ตายในฐานะโจทก์เผยว่า รู้สึกเสียใจกับคำพิพากษา และต้องการที่จะยื่นอุทธรณ์คดี ต่อไป
ขณะที่นายรัษฎา มนูรัษฎา ทีมทนายความโจทก์ให้สัมภาษณ์ว่า คดีมีรายละเอียดหลายประเด็น เคารพแต่ไม่เห็นพ้อง จะขออุทธรณ์คดีภายใน 1 เดือน
โดยประเด็นเจ้าหน้าที่ทหารใช้ปืนยิงนายชัยภูมิเพราะอ้างมีระเบิดนั้น เป็นประเด็นที่สู้มาตลอด
พร้อมระบุว่าประเด็นที่ศาลหยิบยกคำให้การชั้นสอบสวนของนายพงศนัย แสงตะหล้า ที่นั่งรถมาด้วย วันเกิดเหตุ 17 มี.ค. 2560 แต่ให้การหลังเกิดเหตุสิ้นเดือนมี.ค. ถ้ามาด้วยกันกับผู้ตายและมียาเสพติดทำไมนายพงศนัยไม่ถูกดำเนินคดี
ส่วนประเด็นเชื่อมโยงคดียาเสพติดคดีอื่นนั้นเราไม่รู้รายละเอียด ต้องดูรายละเอียดในการอุทธรณ์คดีต่อไป ทางญาติติดใจ และภาพวงจรปิดที่จะบอกได้ว่าเหตุเกิดอย่างไรไม่ปรากฏก็เป็นปัญหา
นายไมตรี จำเริญสุขสกุล ประธานกลุ่มรักษ์ลาหู่ ในฐานะผู้ดูแลนายชัยภูมิเปิดเผยถึงความรู้สึกว่า ช็อก ไม่รู้จะอย่างไร ตนไม่กล้าก้าวก่ายคำตัดสินศาล ประเด็นกล้องวงจรปิดไม่ถูกเปิดเผย บอกไม่ถูกบันทึก ไม่มีข้อมูลในการลบก็จบแล้วหรือ หากกล้องไม่เสียทำไมไม่ถูกบันทึก สุดท้ายผลออกมาขัดกับความรู้สึก คุยกันแล้วเราสามารถยื่นอุทธรณ์สู้ได้ เชื่อมั่นในระบบก็เดินให้สุดทาง
ขณะที่ยังมีประเด็นที่น่าสนใจเรื่องวงจรปิดที่ศาลระบุว่าไม่ถูกเปิดเผย บอกไม่ถูกบันทึก ไม่มีข้อมูลในการลบ เนื่องจากในคดีไต่สวนการตาย ทนายความยื่นเรื่องกองทัพบกให้เปิดเผยภาพวงจรปิด แต่กองทัพบกระบุว่าไม่มีภาพ เนื่องจากถูกบันทึกทับไปแล้วตามกระบวนการอัดทับข้อมูลเดิม
และแม้จะร้องต่อศาลขอให้ออกหมายเรียกพล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้นที่ให้สัมภาษณ์ว่าได้ดูวงจรปิดมาให้การ แต่ศาลระบุว่าไม่มีความจำเป็นเพราะเป็นแค่การไต่สวนการตาย
เท่ากับว่าผู้ที่เห็นภาพจากวงจรปิดนี้ที่ออกมายอมรับต่อสาธารณะก็คือพล.ท.วิจักขฐ์ และพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท อดีตผบ.ทบ. ซึ่งขัดแย้งกับคำพิพากษา
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของอาวุธที่อ้างว่าใช้ต่อสู้ ก็คือมีดและระเบิด ที่ไม่พบรอยนิ้วมือของชัยภูมิที่มีด และที่ระเบิดพบดีเอ็นเอบางส่วนของชัยภูมิ แต่ก็มีดีเอ็นเอของหลายคนปะปนอยู่ด้วย
จึงเป็นเรื่องที่คาใจรอการพิสูจน์ ซึ่งต้องต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป